วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

การละเล่นและการแสดงพื้นบ้าน จังหวัดศรีสะเกษ

การละเล่นและการแสดงพื้นบ้าน

        การละเล่นของเด็ก
   
     การละเล่นในสมัยก่อนที่เด็กชาวศรีสะเกษทั่วไปนิยมเล่นกัน มีดังนี้



เล่นบักลี้

     เล่นบักลี้ (ซ่อนหา) เล่นได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่กลัวหนาม ไม่กลัวผี เริ่มจากให้คนหนึ่งเป็นผู้หา อีกหลายคน เป็นผู้ลี้(ซ่อน) เมื่อแยกย้าย
กันไปซ่อนตัวแล้ว ผู้ซ่อนจะให้สัญญาณโดย ใช้คำว่า กู๊ก หรือ เอาได้ พร้อมแล้วผู้หาก็จะตาม ค้นหาผู้ลี้ (ซ่อน) จนพบ เมื่อพบแล้ว จะวิ่งไล่เอามือแตะ
ผู้ที่ตนพบ เมื่อแตะต้องตัวแล้วถือว่าผู้ที่ถูกค้นพบและถูกแตะ ก็จะเปลี่ยนฐานะจากผู้ลี้(ซ่อน) เป็นผู้หา ให้ผู้แพ้เป็นผู้หาอีกวนเวียนกันไป




เล่นบักหึ่ง

     เล่นบักหึ่ง (ไม้หึ่ง) เป็นการเล่นของเด็กชาย การเล่นมีหลายขั้นตอน อุปกรณ์การเล่นประกอบด้วยไม้ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ นิ้ว ๒ ท่อน
ท่อนแรก ยาวประมาณหนึ่งคืบ ท่อนที่สองยาวประมาณช่วงแขน แบ่งผู้เล่นฝ่ายละคน สับเปลี่ยนกันเล่น ขั้นแรกให้เซาะดินทำเป็นร่อง การเล่น
ไม้ที่หนึ่งคือฝ่ายหนึ่งเป็นคนเอาไม้ท่อนยาวงัดไม้หึ่งท่อนสั้น ที่วางพาดปากหลุมดิน งัดไม้หึ่งให้ลอยไปข้างหน้า แล้วเอาไม้ยาววางพาดปากหลุม
อีกฝ่ายหนึ่งคอยยืนรับไม้หึ่งที่ลอยไป แล้วขว้างไม้หึ่งท่อนสั้นนั้นกลับมาให้ถูกไม้ที่วางพาดปากหลุม ถ้ารับไม่ได้ให้ขว้างมาจากจุดที่ไม้หึ่งนั้นตก
ถ้าขว้างมาถูกไม้ท่อนยาว ที่พาดปากหลุมไว้ก็ถือว่าต้องเปลี่ยนกันเล่น ถ้าโยนไม้หึ่งมาไม่ถูกไม้ยาวที่พาดปากหลุม ก็เล่นไม้สองต่อไป โดยเอา
ไม้ท่อนยาวงัดไม้หึ่งท่อนสั้นออกจากหลุมไปอีก อีกฝ่ายก็คอยยืนรับให้ได้แล้วขว้างไม้หึ่งนั้นกลับมาให้อยู่ใกล้หลุมที่สุด ถ้ารับไม่ได้ให้ขว้างมาจาก
จุดที่ไม้หึ่งนั้นตก ส่วนฝ่ายที่ถือไม้ยาวอยู่ปากหลุมก็คอยจ้องตีไม้ที่ขว้างคืนมาให้ไกลจาก ปากหลุมมากที่สุด แล้ววัดระยะห่างโดยเอาไม้ท่อนยาว
วัดระยะ ฝ่ายใดตีไม้หึ่งท่อนสั้นไปได้ไกลจากปากหลุมมากที่สุด ฝ่ายนั้นชนะ


ยิงบั้งโป๊ะ

      ยิงบั้งโป๊ะ บั้งโป๊ะเป็นลักษณะปืนอัดลมที่ทำจากไม้ไผ่น้อยสองท่อน ท่อนแรกกลวงตลอด ท่อนที่สองมีไม้เสียบตรงกลาง เรียกว่าเคย แล้วนำ
ลูกโป๊ะที่ทำจากใบกล้วยเคี้ยวหรือลูกคอมดิบ ยัดลงไปในท่อนกลวง ดันให้อยู่ด้านปลาย แล้วนำลูกโป๊ะที่ทำจากใบกล้วยหรือลูก คอมดิบ อีกลูก
มายัดลงท่อนกลวงด้านต้น และดันให้แรงอัดดันลูกโป๊ะไปข้างหน้า เหมือนยิงปืน เวลายิงจะมีเสียงดังโป๊ะ จึงเรียกบั้งโป๊ะ





เล่นเตย
     เล่นเตย ผู้เล่นขีดเส้นเป็นตารางสี่เหลี่ยม ๔ – ๕ เส้น แบ่งเป็น ๒ ช่อง แบ่งคนเป็นฝ่ายรุกวิ่งผ่านจากด้านหน้าไป ด้านหลังผ่านช่องเส้น
ที่ขีดไว้ โดยไม่ให้ฝ่ายรับที่ยืนรักษาประจำแต่ละเส้นแตะต้องตัวได้


ว่าวสะนู

     ว่าวสะนู หรือว่าวธนู เป็นว่าวขนาดใหญ่ ทำธนูที่หัวว่าวที่เหลาลำหวายเป็นแผ่นบาง ๆ ตรึงสองข้างด้วยด้ายกับไม้ไผ่ที่โก่งคล้ายคันธนู ทดลอง
แกว่งดูก่อน มีเสียงไพเราะโหยหวน ใช้เชือกผูกเบ็ดยาว ๒๐๐ – ๓๐๐ เมตร สะนูว่าวจะส่งเสียง โหยหวนไพเราะตามธรรมชาติ ว่าวสะนู
ูเล่นได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่



แข่งโหวด
     แข่งโหวด โหวดทำจากปล้องไม้ไผ่และขี้สูด (ยางเหนียวมาจากมูลของแมลงชนิดหนึ่งเรียกว่าแมงน้อย) เล่นได้ ๒ วิธี วิธีแรกคือการแกว่งโหวด
ให้ล่องลอย ฝ่าอากาศไป มักเล่นในหน้าไถนาฝนตกลงมาในต้นฤดูฝน อีกวิธีหนึ่งคือการนำโหวด มาเป่าให้เป็นเพลง ซึ่งผู้เป่า ต้องมีความชำนาญ


ดีดเม็ดมะขาม

     ดีดเม็ดมะขาม  เม็ดมะขามที่ปอกเอาเนื้อในแล้ว นำมาเล่นได้หลายประเภท มีทั้งดีดลงหลุม หรือดีดให้กระทบกัน ใครชนะจะได้เม็ดมะขาม
 เม็ดมะขามคั่วจะหอมมันอร่อย มีการคั่วเม็ดมะขามใส่ถุงขาย เวลาเคี้ยวจะมีเสียงดัง


เป่ายาง  ยิงยาง
     เป่ายาง  ยิงยาง  นำเอายางยืดมาเป่าให้ถูกกันหรือกบกัน (คร่อมกัน) ใครชนะจะได้ยางยืด



ล่นหมากเหลื่อม  

     เล่นหมากเหลื่อม  เอาลูกหมากเหลื่อมที่สุกและแกะเอาเนื้อออกหมดแล้วมาขัดฝนตกแต่งให้สวยงาม ทดลอง ยิงด้วยนิ้วมือจนหมุนได้
คล้าย
ลูกข่าง แล้วนำไปยิงลูกหมากเหลื่อมที่ปักเป็นแนวไว้ที่พื้นดิน ห่างประมาณ ๓-๔ เมตรให้ล้ม ผู้ชนะ ได้ลูกหมากเหลื่อมนั้น

มอญซ่อนผ้า
     มอญซ่อนผ้า  จำนวนผู้เล่นไม่จำกัดจำนวน  มีผ้า ๑ ผืน เป็นอุปกรณ์การเล่น จับไม้สั้นไม้ยาว เลือกคนที่เป็นมอญ คนอื่นๆ นั่งล้อมวง คนที่เป็นมอญ
ถือผ้าไว้ในมือ เดินวนอยู่นอกวง คนที่นั่งล้อมวงอยู่จะร้องเพลง ระหว่างนั้นคนที่เป็นมอญจะทิ้งผ้าไว้หลังใครก็ได้ แต่ต้องพรางไว้เป็นว่ายังถือผ้าอยู่
เมื่อเดินกลับมา ผ้ายังที่อยู่เดิม ก็หยิบผ้าไล่ตีผู้อื่น ผู้เล่นนั้นต้องวิ่งหนีไปรอบๆ วง แล้วจึงนั่งได้ ผู้เป็นมอญจะเดินวนต่อไปหาทางวางผ้าให้ผู้อื่นใหม่
ถ้าใครรู้สึกตัวคลำพบผ้าจะวิ่งไล่ตีมอญไปรอบวง ๑ รอบ มอญต้องรีบวิ่งหนีมานั่งแทนที่ คนไล่ก็ต้องเป็นมอญแทน


ตี่จับ
     ตี่จับ   จำนวนผู้เล่นไม่จำกัดจำนวน แบ่งเป็น ๒ ฝ่ายเท่าๆ กัน และจับไม้สั้นไม้ยาวว่าใครจะเริ่มตี่ก่อน ฝ่ายที่ตี่ก่อน เริ่มเล่นโดยเลือกพวกของตน
คนหนึ่ง เป็นคนเข้าไปตี่ คนตี่จะออกเสียง "ตี่" หรือ "หึ่ม" เข้าไปในแดนฝ่ายตรงข้าม ในขณะเดียวกันฝ่ายตรงข้ามต้องคอยยึดตัวไม่ให้กลับเข้าแดน
ของตนได้ จนกว่าจะขาดเสียงผู้นั้นต้องมาเป็นเชลยของฝ่ายตรงข้าม แต่ถ้าสามารถหนีกลับเข้าแดนตนได้ คนที่ถูกแตะจะกี่คนก็ตามต้องไปเป็นเชลย
สลับกัน เมื่อมี ีฝ่ายของตนเป็นเชลย ผู้ที่ตี่คนต่อไปต้องพยายามช่วยพวกของตนกลับมาให้ได้ ฝ่ายตรงข้ามต้องคอยกันไม่ให้แตะกันได้ ถ้าแตะกันได้
้เชลยจะได้กลับแดนของตน เล่นกันเช่นนี้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหมดตัวผู้เล่นก่อน ฝ่ายชนะมีสิทธิ์จะให้ฝ่ายแพ้ทำอะไรก็ได้



เล่นขาโถกเถก

     เล่นขาโถกเถก  หรือขาหยั่ง  ทำด้วยไม้ไผ่ยาวประมาณ ๒-๓ เมตร จำนวน ๒ ท่อน จากนั้นเจาะรูเพื่อทำขาสำหรับวางเท้า เมื่อขึ้นยืนแล้วเดินไป
โดยให้มีความสูงตามต้องการที่เหมาะกับความสามารถในการทรงตัวของผู้เล่น การเจาะรูนั้นต้องตรงกันกับไม้ทั้ง ๒ และทำให้แข็งแรงมั่นคง ผู้เล่นจะขึ้นไปยืนบนขาโถกเถกเดินแข่งกัน โดยไม่ให้ตกลงมาหรือเสียการทรงตัว ใครที่เดินนานมีระยะทางไกลกว่าหรือถึงเส้นชัยก่อน โดยที่
ไม่ตกเลย จะเป็นผู้ชนะผู้เล่นได้รับความสนุกสนานเสริมสร้างความสามัคคี และออกกำลังกายเพราะคนที่แข็งแรงจะเดินได้นานในระยะทางที่ไกล
ส่วนมากนิยมเล่นในการเดินขบวนแห่ในงานประเพณี



เล่นเฮือนน้อย

     เล่นเฮือนน้อย  เป็นการเล่นขายของของเด็กเหมือนภาคกลาง หรือเล่นขายขนม  ขายข้าวแกง เป็นการละเล่นที่เด็กหญิงโปรดปราน เพราะมี
ีอุปกรณ ์ย่อเลียนแบบของจริงครบครันทั้งหม้อข้าวหม้อแกงจาน ชาม ช้อน เตา เครื่องใช้ในการทำครัวทุกอย่าง เด็กจะหุงหาอาหารสมมุติโดยใช้
้ใบไม้ ดอกไม้ ผลไม้มาหั่น ตำ คลุกเคล้ากับข้าว ตำคั้นน้ำจากกลีบดอกไม้เป็นน้ำหวาน เด็กโต
อาจใช้เครื่องครัวของจริงแบบหุงหาอาหารแบบง่ายๆ
เช่น หุงข้าว ไข่เจียว ทำขนมครก เป็นต้น




เล่นพระเอกผู้ร้ายยิงปืนไม้
     เล่นพระเอกผู้ร้ายยิงปืนไม้   ผู้เล่นสมมุติเป็นพระเอก  ผู้ร้ายยิงปืนด้วยนิ้วมือและใช้ปากทำเสียงปืนเลียนแบบหนังคาวบอย ผู้ที่ถูกยิง
ก็ต้องทำท่าตาย และออกจากการเล่น หลบซ่อนตามซอกหลืบ  ถ้ำดิน  ป่าไม้  ริมฝั่งห้วย  ในสวน  ตามถนนหนทาง  โดยการขี่ม้าก้านกล้วย
แข่งกัน

การเล่นในน้ำ
     การเล่นในน้ำ  นิยมเล่นกระโดดน้ำ  เล่นด้วยการกระโดดท่าต่างๆ ตีลังกาหน้าลังกาหลัง แข่งว่ายน้ำ  แข่งดำน้ำไกล  แข่งดำน้ำทน
เล่นงอ(ซ่อนหา) ในน้ำ ใครถูกแตะตัวต้องตกเป็นฝ่ายไล่แตะต้องตัวคนอื่น ดัง นั้นเด็กสมัยก่อนจึงดำน้ำว่ายน้ำอย่างคล่องแคล่ว คุ้นเคย
กับสายน้ำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าว่ายน้ำแบบกรรเชียง ว่ายปลากระเดิด ว่ายยืน ว่ายคลุมโปง

   
ตีนเลี่ยน(ล้อเลื่อน)
     ตีนเลี่ยน ทำด้วยไม้กระดานรูปวงกลมรัศมี ๘-๑๒ นิ้ว เจาะรู ตรงกลางใช้ไม้ไผ่ยาวประมาณ ๒ เมตร ผ่าครึ่งยาวประมาณ ๑๒ นิ้ว
เพื่อเชื่อมกับรูของกระดานโดยใช้ตะปู หรือไม้ที่แข็งเป็นเพลาแล้วสกัดไว้ให้แน่นไม่หลุดออกมา การเริ่มต้นผู้เล่นจะยืนเรียงกัน
โดยใช้ไม้ไผ่ด้านปลายวางไว้ที่บ่าแล้วจับให้แน่น  สัญญาณบอกเริ่มวิ่ง ผู้เล่นก็จะดันตีนเลียนให้วิ่งออกไป เพื่อให้ถึงเส้นชัย
ซึ่งอาจจะเป็นระยะทาง ๕๐ เมตร หรือ ๑๐๐ เมตร  การสิ้นสุดการเล่นใครถึงเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะ ทำให้ผู้เล่นได้รับความสนุกสนาน
สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ เสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง  ส่วนมากนิยมเล่นในงานประเพณีสงกรานต์หรือประเพณีอื่นที่เห็นว่า
เหมาะสม เพื่อสร้างความสนุกสนาน




การละเล่นและการแสดงพื้นบ้านของผู้ใหญ่
หมอลำ
     หมอลำเป็นการละเล่นของชาวศรีสะเกษมาแต่โบราณกาลแล้ว มีการพัฒนามาตาม ลำดับ โดยมีเครื่องดนตรีหลัก คือ แคน ต่อมามีพิณ  ซอ  กลอง 
และเครื่องดนตรีสมัยใหม่เข้ามาประกอบ หมอลำอาจแบ่งประเภทได้ดังนี้
               หมอลำคู่
     หมอลำคู่ คือลำโต้ตอบระหว่างชาย หญิง หมอลำชิงชู้ คือการรำระหว่างชายสองหญิงหนึ่ง หรือชายหนึ่งหญิงสอง ต่อมาได้พัฒนาเป็น หมอลำซิ่ง
นุ่งน้อยห่มน้อย ร้องลำสลับการร้องเพลงจังหวะเร็ว หมอลำทองอินทร์ สายบุญสา (ถึงแก่กรรม) เป็นชาวศรีสะเกษ ที่ได้รับรางวัลพระราชทานจาก
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการ ประกวดหมอลำที่ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ การเล่นลำคู่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยม เพราะมีการ
เล่นหมอลำซิ่งที่ เร้าใจกว่า หมอลำคู่จะมีการสอย โดยมีผู้ชมพูดขัดขึ้นระหว่างการลำ ผู้ไม่เคยชมอาจจะมองว่าการสอยและ การลำ มีถ้อยคำหยาบโลน
เช่น สอยสอย น้ำท่วมเข่าเห็นแต่ใบวี น้ำท่วม……เห็นแต่…..

               หมอลำหมู่
     หมอลำหมู่ คือลำเป็นคณะ แต่งตัวคล้ายลิเก แสดงเป็นเรื่องเป็นราว เช่น เรื่องผาแดงนางไอ่ สังข์ศิลป์ชัย นางสิบสอง กำพร้าผีน้อย นกกระยางขาว
เป็นต้น หมอลำหมู่มี สองแบบคือ
     - หมอลำเวียง ซึ่งอาจเป็นสังวาส (ทำนอง) เวียงจันทน์ สังวาสขอนแก่น เช่นลำเรื่องลีลาวดี เป็นต้น ท่วงทำนองช้า ๆ เวลาเล่นเรื่องโศกเศร้าจะตรึง
ผู้ชมให้คล้อยตามได้
     - หมอลำเพลิน เป็นหมอลำหมู่ที่นิยมเพราะมีทำนองสนุกเร้าใจ ผู้เล่นที่เป็นหญิงมักจะนุ่งสั้น ๆ เล่นเรื่องขุนช้างขุนแผน และชาละวันไกรทอง เป็นพื้น
หมอลำจังหวัดศรีสะเกษที่มี ชื่อเสียง เช่น ไก่ฟ้า ดาดวง ที่ถึงแก่กรรมแล้ว หมอลำเพลินวงบ้านโพธิ์ อำเภอราษีไศล ที่เล่นเรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นต้น
ส่วนหมอลำสมัยใหม่ ที่มีราคาค่าจ้างแสดงสูงคือวงแดนดอกบัว บ้านหนองโพธิ์ ตำบลหนองครก อำเภอเมือง ซึ่งมีการบันทึกเสียงเพื่อการจำหน่ายที่
เรียกว่าออกเทป เป็นที่นิยมอย่าง แพร่หลาย สถานที่ชุมนุมหมอลำ อยู่ที่สถานีวิทยุ จส.๖ บริเวณคุ้มวัดเจียงอี และเมืองใหม่สะพานขาว




หนังตะลุงผึ้งเพียมาต

     นายสิงห์  จำเริญ  บ้านผึ้ง  ตำบลหนองแค  อำเภอราษีไศล  จังหวัด ศรีสะเกษ  ให้สัมภาษณ์ว่า  เริ่มเล่นหนังตะลุงตั้งแต่อายุ ๑๗ ปี กับครูหนัง
ที่จังหวัดยโสธร ต่อมาได้ตั้งคณะหนังตะลุงขึ้นเป็นคนแรกและเป็นคณะเดียวที่ บ้านผึ้งเพียมาต เรียกว่า หนังประโมทัย โดยให้เหตุผลว่า เป็นหนัง
ที่เริ่มจากภาคอีสานจึงควรมีชื่อเรียกเฉพาะของคนอีสาน แต่ชาวบ้านจะเรียกว่า หนังบักตื้อ เพราะจำเอาชื่อตัวละครที่ชื่นชอบในเรื่อง
     เรื่องที่นำมาแสดงคือ เรื่องรามเกียรติ์  ตอนพระรามออกบวช จนกระทั่งพระรามกลับมาครองเมือง ตัวประกอบที่เป็นตัวตลกลักษณะท่าทาง
เหมือนคนอีสาน ได้แก่ ปลัดตื้อ บักป่อง บักแหมบ (จมูกบี้) โดยมีผู้เชิดและ ผู้พากย์เป็นคนเดียวกัน เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบมี กลอง แคน
และระนาดเอก ปัจจุบันมีผู้แสดงมากขึ้น เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบก็มากขึ้น มีการพัฒนาตามความนิยมของผู้ชมคือ เพิ่มหมอลำซิ่งเข้าไปแทรก
ระหว่างการแสดงหนังตะลุง ภาษาที่ใช้พากย์ตามลักษณะตัวละคร มีการใช้ทั้งภาษาไทย ภาษาลาว และภาษาลาวเวียงจันทน์ ซึ่งมีคำว่า โดย หรือ
ข้าน้อย ขานรับ
     เวทีที่ใช้แสดงสูงจากพื้นประมาณ ๑ เมตร ขนาดของเวทีกว้างประมาณ ๒ เมตร ยาวประมาณ ๕.๓๐ เมตร ใช้ผ้าและทางมะพร้าวปิดรอบเวทีไว้
ทุกด้านเพื่อไม่ให้ผู้ชมมองเห็นผู้พากย์และนักดนตรี แสงไฟที่ใช้ส่องจอใช้ ตะเกียงโป๊ะ ต่อมาใช้ตะเกียงเจ้าพายุและพัฒนามาใช้หลอดไฟฟ้าขนาด
๖๐-๙๐ แรงเทียนจำนวน ๓ หลอด ก่อนการแสดงหัวหน้าคณะต้องร่ายเวทมนตร์ หยดน้ำมนต์ลงพื้นดินเพื่อขออนุญาตแม่ธรณีและเป็นสิริมงคลแก่
คณะของตน

อุปกรณ์การเล่น
     ตัวหนังที่เป็นรูปพระราม ตัวทหาร ตัวตลก ที่มีชื่อและลักษณะท่าทางเหมือนคนอีสาน เช่น ปลัดตื้อ บักป่อง บักแหมบ เวทีที่ใช้แสดงจะอยู่ระดับสายตา
ส่วนจอจะสูงจากเวทีประมาณ ๑ เมตร ขนาดของเวทีกว้างประมาณ ๑.๘๐ เมตร ยาวประมาณ ๕.๓๐ เมตร แสงไฟที่ส่องจอใช้ตะเกียงโป๊ะ (เจ้าพายุ)
ต่อมาใช้หลอดไฟฟ้าขนาด ๖๐, ๙๐ แรงเทียน
 




โขนขุขันธ์

     โขนขุขันธ์  การแสดงโขนของอำเภอขุขันธ์เป็นโขนแบบที่เล่นประยุกต์การ ดำเนินเรื่องเร็วกว่าโขนมาตรฐาน เพราะลีลาการร่ายรำไม่เต็มแบบฉบับ
โดยนำแบบฉบับการร่ายรำละครนอกตัดทอนมาผสมผสานลีลาร่ายรำและการพากย์โขนรวมกันเล่น
     การเล่นละครนอกของอำเภอขุขันธ์นั้น เคยฝึกซ้อมเล่นถ่ายทอดต่อเนื่องกัน มาตั้งแต่ครั้งขุขันธ์เป็นจังหวัด คือ ละครนอกสายพระยาขุขันธ์ภักดี-
ศรีนครลำดวน(ปัญญา ขุขันธิน) ซึ่งหาครูเขมรจากประเทศกัมพูชามาสอน บทขับร้องและเจรจาเป็นภาษาเขมร อีกสายหนึ่งเป็นละครนอกของ
พระยาบำรุงบุรประจันต์ (จันดี กาญจนเสริม) ซึ่งหาครูจากกรุงเทพมาสอน บทขับร้องและบทเจรจาเป็นภาษาไทย แต่ลีลาการร่ายรำขับร้องและการ
เจรจา ทั้งสองสายนี้คล้ายกัน
     จากการที่นายบุญเลิศ จันทร อดีตครูใหญ่โรงเรียนขุขันธ์วิทยา ได้ฝึกซ้อมนักเล่นโขน ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ เล่นรอบกองไฟในงานของ
โรงเรียนขุขันธ์วิทยาและนายศิริ  ศิลาวัฒน์  อดีตครูหัวหน้ากลุ่มโรงเรียน ตำบลหัวเสือ อำเภอขุขันธ์ นำครูและนักเรียนไปชุมนุมลูกเสือที่อำเภอ
ได้ฝึกซ้อมโขนตอนพระลักษมณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์และสังหารกุมภกรรณ เครื่องแต่งกายเท่าที่พอจะหาได้ ไม่มีหัวโขนแต่ใช้หน้ากากปิดหน้าแทน
     พ.ศ. ๒๕๑๐-๒๕๑๓ ได้แสดงในงานกาชาดประจำปีของจังหวัดศรีสะเกษ ผู้ว่า ราชการจังหวัด(นายกำเกิง  สุรการ)  ได้ให้ทางอำเภอขุขันธ์ฝึกซ้อม
การแสดงโขน นายอำเภอขุขันธ์(นายสม  ทัดศรี) จึงได้ให้นายศิริ ศิลาวัฒน์ จัดทำบทให้ผู้ฝึกซ้อมดำเนินการ 4 ตอน คือ

ตอนกำเนิด พาลี สุครีพ หนุมาน
ตอนทรพีฆ่าพ่อ และพาลีฆ่าทรพี

ตอนหนุมานส่งข่าวนางสีดาและเผากรุงลงกา
ตอนพระลักษมณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์และสังหารกุมภกรรณ
     วงปี่พาทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดงโขน ขุขันธ์นั้นมาจากบ้านหัวเสือ  อำเภอขุขันธ์  และวงปี่พาทย์นี้ยังคงรวมตัว กันแสดงในงานเทศกาลทั่วไป

เล่นลูกสะบ้า

     เล่นลูกสะบ้า  ใช้ลูกสะบ้า  ประมาณ ๓๐ ลูก เป็นลูกที่ใช้ตั้งฝ่ายละ ๕ ลูก ใช้เป็นลูกโยนฝ่ายละ ๑๐ ลูก คนเล่นฝ่ายละ ๕-๗ คน
แบ่งคนเล่นออกเป็น ๒ ฝ่าย แล้วตั้งลูกสะบ้าไว้ฝ่ายละ ๕ ลูก แต่ละฝ่ายจะอยู่ห่างกันประมาณ ๑๐-๑๕ เมตร มีลูกสะบ้าสำหรับโยน ๑๐ ลูก
ตกลงกันว่าจะให้ฝ่ายใดเริ่มโยนก่อน  การสิ้นสุดการเล่นฝ่ายใดโยนล้มหมดทุกลูกจะเป็นฝ่ายชนะ ฝ่ายที่แพ้จะถูกเคาะหัวเข่า (เขกเข่า)
ด้วยลูกสะบ้า  ทำให้ผู้เล่นได้รับความสนุกสนานสร้างเสริมความสามัคคีในหมู่คณะรักพวกพ้อง รู้จักคิดหาวิธีช่วยเหลือกันและมีน้ำใจ
เป็นนักกีฬา รู้จักแพ้ รู้จักชนะ รู้จักอภัย ส่วนมากนิยมเล่นในงานประเพณีสงกรานต์ หรือ งานเทศกาลรื่นเริงในหมู่บ้าน เวลากลางวัน



การเส็งกลอง

     พระครูประภัศรสังฆกิจ (สุรเมธี ปภสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดบ้านโนนสังข์และ เจ้าคณะอำเภอกันทรารมย์ นายสมบัติ โนนสังข์ บ้านโนนสังข์ ตำบล
โนนสังข์ อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้อธิบายว่า การเส็งกลองคือ การแข่งขันตีกลอง การแข่งขันนั้นเรียกว่า เส็ง กลองที่นำมาเส็งนี้ไม่ใช่
กลองยาวแต่เป็นกลองที่ทำขึ้นมาเพื่อแข่ง โดยเฉพาะกลองที่นำมาแข่งขัน เรียกว่า กลองกิ่ง กลองจิ่ง หรือ กลองเส็ง มีขนาดหน้ากลองมีรัศมี ๒๔ – ๓๐
นิ้ว ยาวประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ใช้เป็นคู่ การเส็งต้องตีทั้งคู่ หรือตีเดี่ยวตามแต่วิธีการตีหรือตกลงกัน กลองกิ่งเวลาตีจะดังกว่ากลองชนิดอื่น ๆ
คนที่ยืนใกล้เวลาเขาเส็งกันต้องเอามืออุดหูหรือใช้สำลี นุ่น อุดหู ผู้ตีเองก็ใช้สำลีหรือนุ่นอุดหูไว้เช่นกัน



ฟ้อนกลองตุ้ม

     การฟ้อนกลองตุ้มของบ้านหนองแก้ว บ้านหนองแวง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัด
ศรีสะเกษ จะมีขึ้นประมาณเดือน ๖ ของทุกปี เพราะใช้ฟ้อนประกอบ ประเพณีบุญบั้งไฟ
เดิมนั้นจะมีการฟ้อนที่วัด โดยจัดขบวนให้พวกแห่บั้งไฟ อยู่ตรงกลาง พวกฟ้อนอยู่
รอบนอก ฟ้อนเป็นวงกลมรอบ บั้งไฟ ผู้ฟ้อนเป็น ชายล้วน ปัจจุบันผู้ฟ้อนมีทั้งชายหญิง
ฟ้อนเป็นขบวนยาวจัดเป็น ๒ แถว การแต่งกาย ผู้ฟ้อนกลองตุ้มแต่งกายด้วยผ้าพื้นเมือง
และอุปกรณ์ที่พอจะ หาได้ ใน หมู่บ้าน คือ
๑. ผ้าโพกหัว เป็นผ้าลายขิด หญิงโพกผูกไปทางซ้าย ชายโพกผูกไปทางขวา
๒. ใส่กระจอนหู (ตุ้มหู) มีลักษณะเป็นพวงระย้าค่อย ๆ เรียวลง
๓. ผ้าสไบ ใช้ห่มเป็นสะพายไขว้กัน ทิ้งชายลงด้านข้างทั้ง ๒ ข้าง
๔. ตุ้มเปหรือตุ้มยำแยบ ใช้เป็นสร้อยคอและเป็นสายสะพายไขว้กันเหมือนสายสังวาล
ตรงชายตุ้มเปจะมีตุ้มห้อยเป็นรูปดาว
๕. แว่น (กระจก) ห้อยสายสร้อยอีกเส้นหนึ่งใช้ส่องเวลาแต่งหน้าและเพื่อให้เกิด
แสงวูบวาบสะท้อนให้เทวดาฟ้าดินได้มองเห็นความทุกข์ยากของประชาชน
๖. กำไลข้อมือ ข้อเท้าทั้งสองข้าง
๗. ผ้าคาดเอว ใช้คาดทับสไบ
๘. ซวยมือ (เล็บ) ใช้สวมนิ้วมือทั้ง ๕ นิ้ว มีลักษณะยาวเรียวคล้ายฟ้อนเล็บของ ภาคเหนือ
๙. ผ้านุ่งเป็นโสร่งไหม
๑๐. เสื้อเดิมใช้สีอะไรก็ได้ปัจจุบันเพื่อให้เกิดความสวยงามจึงใช้สีเหมือนกัน กระดุมเป็นเงินก้อนหรือเหรียญสลึง
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบจังหวะ มีดังนี้
- กลองตุ้ม ใช้ไม้ประดู่ทำตัวกลอง หนังกลองใช้หนังวัวหรือหนังควาย
- ไม้ตีกลอง ใช้แก่นไม้แล้วหุ้มหัวสำหรับใช้ตี
- พังฮาด มีลักษณะคล้ายฆ้อง แต่ไม่มีตุ้มใช้แทรกกับเสียงกลอง


ฟ้อนงูกินเขียด
     ฟ้อนงูกินเขียด นิยมฟ้อนกันตอนกลางคืนในงานบุญบั้งไฟ หลังจากเลิก การฟ้อนตุ้ม ท่าฟ้อนเป็นแบบอิสระตามแบบฉบับของตัวเองแต่ละคน
ใช้กลองยาวตีประกอบจังหวะ ไม่มีการกำหนดท่ารำแถวไม่ตรงกันและไม่แตกแถวออกจากกัน ผู้ฟ้อนจุดไต้ถือด้วยมือซ้ายหรือมือขวา ก็ได้
แล้วพูดให้เข้าจังหวะว่า งูกินเขียดอยู่ทางนาฮี ข่วมปีข่วมบ่อ ข่วมทุกข์ข่วมยาก ขอหมากกินแหน่ หมากอยู่กก กกอยู่เหง่า เหง่าอยู่ดิน ขอกิน
ลูกแหล่งแหน่ กินได้กินเอา ผู้ฟ้อนถือไต้เดินคดเคี้ยวไปมาพร้อมกับรำไปด้วยและร้องโต้ตอบกันระหว่าง หนุ่มสาว โดยฝ่ายหนุ่มเป็นฝ่าย
เกี้ยวสาว ฝ่ายสาวจะขานรับดังนี้ หนุ่ม เอาอ้ายบ่หล่า สาว เอา หนุ่ม ตั๋วสาแหล่ว สั้นแม่นตั๋ว ให้ขาขด ขาโขง ขาโงอ้อมบ้าน ขาก่านอ้อมฮี ขาวีไหว่ๆ
ขาไล่แมลงวัน ขาซันกี่ถี่ ขาซีก่องด่อง สาว บ่แหล่ว การฟ้อนงูกินเขียดเป็นการรำที่สะท้อนให้เห็นถึงความสนุกสนาน รื่นเริง แสดงถึงความสามัคคี
พร้อมเพรียงของคนในหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี



เรือมตร๊ด (รำตรุษ หรือ รำตร๊ด)

     เรือมตร๊ด (รำตรุษ หรือ รำตร๊ด)  เป็นการรำของชาวศรีสะเกษ เชื้อสายเขมร นิยมเล่นในเทศกาลออกพรรษา งานกฐินและในหน้าแล้งเดือนห้า
โดยตระเวนเล่นไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ เพื่อบอกบุญ ขอบริจาคทรัพย์สมทบกองทุน ผ้าป่า กองดอกไม้ กองกฐิน ประกอบด้วยเครื่องดนตรี คือ กลอง
ปี่อ้อ ขลุ่ย ฆ้องใหญ่ กันชัร (อ่านว่า กัน-ชัล เป็นภาษาเขมร) กระพรวนวัว ซออู้ อุปกรณ์ที่ประกอบการเล่นมีคันเบ็ด ผู้เล่นผู้ชายร้องเพลงคนหนึ่ง
มีลูกคู่ช่วยกันร้องประกอบ ฝ่ายหญิงหนึ่งคน นางรำ แล้วแต่จำนวนที่เห็นว่าเหมาะสมประมาณ ๑๒ คน ผู้แสดงประกอบคล้าย ๆ ตัวละคร มีพราหมณ์
ขอทาน สวมหน้ากาก ตีกลอง ถือกระพรวนวัว ถือกะลา ถือคันเบ็ด การร่ายรำตามจังหวะเพลง มีนาฏลีลา อ่อนช้อย เนิบนาบ การร้องและกระทุ้ง
กระพรวนจำนวนหลายลูกผูกติดกับไม้ที่เป็นรูปกากบาทมีกลอง ปี่หรือขลุ่ย นักร้องหญิงชายร้องสลับกัน ผู้รำจะเดินเป็นแถว จำนวน ๑๕ – ๒๐ คน
เดินไปตามบ้านของเพื่อนบ้าน เหมือนกับการเซิ้งแผ่เงิน (เรี่ยไร) ของชาวลาวในโอกาสที่มีงานบุญ นิยมเล่นกันที่บ้านสำโรงพลัน ตำบลสำโรงพลัน
อำเภอไพรบึง บ้านนาตราว บ้านศาลา ตำบลโคกตาล บ้านจำปาวง ตำบลนาตราว อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ การแต่งกายสวมชุดพื้นเมือง เช่น
ผ้าโสร่ง ผ้าไหม สวมเสื้อหลากสี คณะของรำตร๊ดนี้เมื่อไปถึงหน้าบ้านผู้ใด ก็จะเริ่มตีกลอง ผู้ร้องนำก็เริ่มร้อง เมื่อผู้ร้องนำร้องเสร็จ ผู้ร้องตามก็ร้อง
พร้อมกัน พร้อมกับจังหวะการรำไปทางซ้ายที ทางขวาที กระทุ้งด้วยไม้ผูกกระพรวนให้ได้ยินถึง เจ้าของบ้าน แต่เดิมนั้น การรำตร๊ดเป็นการร้อง
บอกกล่าวให้รู้ว่าบัดนี้ถึงวันปีใหม่แล้ว คือ วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ สงกรานต์ ขอให้พวกเราหยุดการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการทำไร่ ทำนา ตีมีด ทอผ้า
หรืองานอื่น ๆ ขอให้หยุดเพื่อมาร่วมฉลองปีใหม่ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ จึงขอบอกบุญมายังพี่น้องทุกคน เมื่อคณะรำตร๊ดไปถึงบ้านใครก็จะหาน้ำ
ให้ดื่ม ให้สุราและถวายจตุปัจจัยเพื่อร่วมทำบุญ หลังจากนั้นคณะรำตร๊ด ก็จะร้องเพลงอวยพรให้มีความสุขความเจริญ
 
เรือมอายัย (รำอายัย)
     เรือมอายัย (รำอายัย)  เป็นการรำของชาวศรีสะเกษ ที่มีเชื้อสายเขมร ที่เป็นการร้องโต้ตอบกันทำนองเกี้ยวพาราสีระหว่างหนุ่มสาว ในเทศกาล
ต่าง ๆ ที่เป็นงานรื่นเริงสนุกสนาน โดยผู้รำนั้นจะไหว้ครู พร้อมกัน เสร็จแล้วก็จะเดินออกมาร้องโต้ตอบกันเป็นคู่ ๆ มีลูกคู่ร้องรับ เมื่อร้องจบ
ในแต่ละวรรค ดนตรีก็จะบรรเลงรับผู้แสดงทั้งหญิงและชายจะรำเกี้ยวพาราสีกัน ลูกคู่ก็จะปรบมือสนับสนุน เมื่อดนตรีจบ คู่ใหม่ก็ออกมาร้องทุกคู่
จนครบและร้องบทลาในตอนจบการรำไม่มีแบบแผนตายตัว เป็นการฟ้อนรำให้เข้ากับจังหวะดนตรี ท่ารำ ส่วนใหญ่ เป็นท่าจีบและแบมือ เรียกว่า
อายัย รำแบบในท่าฟ้อนเกี้ยว ท่ารำของฝ่ายหญิงจะเป็น ท่าทีคอยปัด หรือท่าปกป้องระวังการถูกมือต้องตัว การแต่งกายใช้ผ้าที่ทอพื้นบ้าน นุ่งผ้าถุง
สวมเสื้อแขนกระบอก มีผ้าสใบคล้องคอ ผู้ชายนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลมแขนสั้นมีผ้าไหมคาดที่เอว เครื่องดนตรีที่ใช้มีกลอง (สก็วล) ๑ คู่
ปี่อ้อ ๑ เลา ซอ ๑ – ๒ คัน ฉิ่ง ฉาบ กรับ ทำนอง ที่บรรเลงเร้าใจ สนุกสนาน




กันตรึม
     กันตรึม  เป็นการแสดงของชาวไทยเชื้อสายเขมรของจังหวัดศรีสะเกษ กันตรึมมีที่มาจากแนวความคิดซึ่งนอกจากจะเป็นการ ละเล่นเพื่อความ
สนุกสนาน แล้วยังเป็นการใช้การแสดงการร้องรำ เพื่อบนบานรักษาผู้ป่วยด้วยอีกทางหนึ่ง เป็นประเพณี ซึ่งสืบทอดกันมาแต่โบราณ



รำศรีพฤทเธศวร
     รำศรีพฤทเธศวร  เป็นท่ารำที่คิดขึ้นโดยกรมศิลปากร เพื่อใช้แสดงในงานวันดอกลำดวนบาน หรือเทศกาลดอกลำดวน หรือเทศกาลดอกลำดวนบาน
สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์  ในเดือนมีนาคมทุกปี   โดยผูกเรื่องและท่ารำให้สอด คล้องกับศิลาจารึกที่ปราสาทสระกำแพงใหญ่  ที่กล่าวถึงการสถาปนา
ศรีพฤทเธศวร  หรือปราสาทสระกำแพงใหญ่และการอุทิศสาวๆ  ให้เป็นผู้รับใช้เทวสถานแห่งนี้ เป็นท่ารำที่สวยงามอ่อนช้อยและเป็นสัญลักษณ์ของ
จังหวัดศรีสะเกษไปแล้ว


ฟ้อนรำตำตะ
     ฟ้อนรำตำตะ  เป็นการฟ้อนของชาวกวยศรีสะเกษ  เป็นการคิดค้นท่ารำโดยคณะครูโรงเรียนบ้านตะดอบ  ตำบลตะดอบ  อำเภอเมือง  จังหวัด
ศรีสะเกษ  ซึ่งหมู่บ้านนี้มีประชากรเป็นชาวกวย(ส่วย)  ที่ตั้งถิ่นฐานรอบหนองเม็ง  อันมีแร่เหล็กในบริเวณนั้นเป็นแหล่งน้ำซับ  ชาวบ้านตะดอบ
จึงมีความชำนาญในการหลอมเหล็กและตีเหล็กเป็นเครื่องใช้  เช่น  มีด  จอบ  เสียม  ดาบ  หอก ฯลฯ  ตี ในภาษากวยคือ ตำ  เหล็กในภาษากวย
คือ  ตะ  ตำตะ  จึงแปลว่า  ตีเหล็ก  ซึ่งต้องทำรวมกันหลายคน  เช่น  การขุดเอาดินโพนมาคลุกเคล้ากับแกลบในการปั้นเตา  การร่วมพิธีกรรม
บวงสรวงเจ้าที่ เพื่อให้งานลุล่วงด้วยดี การก่อไฟในเตาด้วยถ่าน การสูบลมเป่าให้ไฟแรงกล้าขึ้น การนำเหล็กมาเผาไฟจนแดงเต็มที่ การคับเหล็ก
ที่เผาจนแดงออกมาวางที่รองตี  การตีเหล็กให้เป็นรูปเครื่องใช้ตามที่ต้องการ  การนำเหล็กไปเผาอีกครั้งแล้ว ชุบด้วยน้ำในหลุมเล็กที่ขุดข้างเตา
การตะไบเหล็กให้เกิดความคม  เพื่อนำไปใช้และจำหน่ายต่อไป  จึงมีการสร้างสรรค์ท่ารำตำตะประกอบดนตรีโปงลางขึ้น  ๖  ท่า  ดนตรีโปงลาง
ใช้จังหวะการรำ ๓ ลายคือ
ลายที่ ๑ ลายมโหรีอีสาน ใช้ประกอบท่ารำที่ ๑ – ๓
ลายที่ ๒ ลายสีทันดร ใช้ประกอบท่ารำที่ ๔
ลายที่ ๓ เรียกว่าลายแมงภู่ตอมดอก ใช้ประกอบท่ารำที่ ๕ – ๖
ผู้แสดงประกอบด้วยหญิงสวมเสื้อแขนกุด ผ้าถุงไหมของชาวกวย ผ้าสไบสีแดง (ตีนซิ่น) ผ้าโพกหัวสีดำ(ผ้าเหยียบ) เครื่องประดับที่ทำด้วยเงิน
ฝ่ายชาย นุ่งผ้าโสร่งไหม ผ้าสไบสีแดง(ตีนซิ่น) ผ้าโพกหัวสีแดง(ตีนซิ่น) เครื่องประดับที่ทำด้วยเงิน ท่ารำแรก เป็นท่าเริ่มแสดง ท่ารำที่ ๑ คือ
ท่าปั้นเตา ท่ารำที่ ๒ ท่าก่อไฟ ท่ารำที่ ๓ ท่าสูบลม ท่ารำที่ ๔ ท่าตีเหล็ก ท่ารำที่ ๕ ท่าชุบมีด ท่ารำที่ ๖ ท่ารำชื่นชม ผลงาน


โปงลาง

     โปงลาง  มีการสนับสนุนการเล่นโปงลางในสถานศึกษา เช่น วงโปงลางของโรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย โรงเรียนราษีไศล โรงเรียนกันทรารมย์
ซึ่งเป็นที่นิยมในการจัดแสดงในงานต่างๆ โดยเฉพาะวงโปงลางของโรงเรียนกันทรารมย์ ได้เดินทางไปแสดงที่ประเทศสหรัฐอเมริยาเมื่อปี พ.ศ.
๒๕๔๐ โดยการนำของนายวิชัย ศิริบูรณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนและนายเทอดสิทธิ์  อุตส่าห์  หัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอกันทรารมย์ในขณะนั้น

1 ความคิดเห็น:

  1. The Best Sports toto - Sporting 100
    Sporting 100, our top tipster team reviews every sport sporting100 to give you an advantage over the competition. Sporting 100 is the largest sports betting website in

    ตอบลบ