วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

โบราณสถาน จังหวัดศรีสะเกษ

โบราณสถาน

     โบราณสถานในจังหวัดศรีสะเกษที่มีอยู่มากมายถือว่ามีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ทั้งในระดับประเทศ และระดับโลกเพราะเป็น
สมบัติร่วมกันของมนุษยชาติ ที่ทุกคนต้องร่วมกันอนุรักษ์ รักษาและปกป้องให้คงอยู่ตลอดไป โบราณสถานในจังหวัดศรีสะเกษ มีดังนี้

พระธาตุบ้านโนนแกด

ที่ตั้ง วัดบ้านโนนแกด ตำบลทุ่ม อำเภอเมืองฯ จังหวัดศรีสะเกษ
ระยะทาง เดินทางจากจังหวัดศรีสะเกษ ถนนศรีสะเกษ-กันทรลักษ์ 8 กิโลเมตร เลี้ยวขวาไปตามถนนราดยางสาย หนองแคน-จันลม
๗  กิโลเมตร  ถึงบ้านโนนแกดเลี้ยวขวาเข้าวัดบ้านโนนแกด ๕๐๐ เมตร
สภาพทั่วไป
     บ้านโนนแกด ตั้งอยู่ที่ราบลุ่มห้วยแฮดฝั่งตะวันออก ทิศตะวันตกของหมู่บ้านจดลำห้วยแฮด "โนนแกด" เป็นภาษาพื้นเมืองชาวกวย
แปลว่า"โนนน้อย" ในสมัยเมื่อ ๕๐ ปีที่ผ่านมาคนทั่วไปในละแวกนี้เรียกบ้านโนนแกดด้วยภาษาพื้นเมืองชาวกวยว่า "โท๊ะเตีย หรือ ทุเตีย"
แปลว่า  บ้านเก่า ซึ่งก็ตรงกับความเป็นจริง จากการสัมภาษณ์หลวงปู่เกลี้ยง เตชธมฺโม หรือ พระครูโกวิทพัฒโนดมเจ้าอาวาสวัดศรีธาตุ
(โนนแกด) อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบัน อายุ ๙๘ ปี ท่านเล่าว่าบรรพบุรุษของ ชาวบ้านโนนแกด เป็นชาวกวยเยอ มี  ๖๒ ครัวเรือน
เลยบ้านโนนแกดออกไปทางทิศใต้ประมาณ ๔๐๐ เมตร จะมีหมู่บ้านที่เป็นชุมชนโบราณ หมู่บ้านหนึ่งชื่อบ้านโนนตูม ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดี 
เตาเผาโบราณ ทิศตะวันตกของหมู่บ้านโนนตูมนี้จะเป็นจุดสำคัญที่ลำห้วยดวนสาขาของห้วยแฮดแยกออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ทอดไปตามทุ่งถึงบ้านดวนใหญ่  อำเภอวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ พื้นที่บริเวณตอนกลางของบ้านโนนแกด ด้านทิศเหนือวัดจะเป็น
เนินดินสูง มีบัลลังก์หินศิลาแลงรอบๆ  เนินจะมี ร่องน้ำโค้งยาว ห่างจากแท่นบัลลังก์ออกไปประมาณ ๑๐๐ เมตรทางทิศตะวันออกจะมี
สระน้ำโบราณขนาดใหญ่ ปัจจุบันได้ขุดลอกใหม่ วัดศรีธาตุ  ( โนนแกด) จะอยู่ทิศใต้ของหมู่บ้าน และจะมีคูน้ำล้อมรอบทางทิศใต้ มาจนถึง
บริเวณทิศตะวันออกของวัด และที่วัดแห่งนี้ก็มี พระธาตุเจดีย์ เก่าแก่มากแห่งหนึ่งของจังหวัดศรีะเกษประวัติความเป็นมา พระศรีธาตุ
เดิมเป็นพระธาตุที่ก่อด้วยอิฐทั้งองค์ จากการบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ ในบ้านโนนแกดเล่าว่าในสมัยที่ตนเองยังเป็นเด็กพระธาตุองค์
เดิมที่ยังมสภาพสวยงามลักษณะคล้ายพระธาตุพนม แต่ส่วนยอดจะกลมที่ยอดพระธาตุจะมีฉัตรสำริดหลายชั้นและ มีกระดิ่งโลหะเมื่อ
ลมพัดจะมี เ สียงดัง ในทุกวันพระจะมีแสงลอยออกจากยอดพระธาตุ ชาวบ้านจึงเคารพ นับถือมากราบไหว้ สักการะบูชา ต่อมามีพวก
กุลาเอาปืนมายิงกระดิ่งที่แขวนอยู่ฐานฉัตรบนยอดพระธาตุแล้วเอากระดิ่งไป ต่อมาพระธาตุได้ ล้มลงมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกับ
พระธาตุพนม จังหวัดนครพนมล้มลงนั่นเอง ชาวบ้านชาวเมืองที่เคยไปเคารพกราบไหว้ต่างรู้สึกเสียดายและ ได้ช่วยกันนำชิ้นส่วนที่
สำคัญเก็บไว้ ท่ามกลางความเสียใจของพุทธศาสนิกชนนั้น หลวงปู่เกลี้ยง ได้มาจำพรรษาที่วัดบ้านโนนแกดและมีศรัทธาแรงกล้าที่จะ
บูรณะพระธาตุเจดีย์ ให้กลับมาดังเดิม จึงได้ร่วมกับคณะกรรมการวัดและพระผู้ใหญ่ในจังหวัดศรีสะเกษวางแผนบูรณะ โดยเชิญ
เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร มาดำเนินการขุดกรุฐานองค์พระธาตุ พบวัตถุโบราณมีค่ามากมาย อาทิ พระพุทธรูปทองคำ ๑๖ องค์
ผอบบรรจุ พระบรมธาตุ ๑ ใบ พระพุทธรูปเงิน ๑ ถาด บาตรพระ ๓ ใบ ดาบโบราณ ๑ เล่ม แหวนประดับพลอย ๔ วง และอื่นๆ อีก
หลายรายการ จึงได้จัดสร้างห้องเก็บไว้ อย่างปลอดภัยจนถึงปัจจุบัน อายุพระธาตุ จากการลงความเห็นของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร
ที่ดำเนินการขุด ให้ความเห็นว่าพระธาตุ บ้านโนนแกดมีอายุกว่า ๑,๔๐๐ ปี ก่อนล้มลงเคยได้รับการบูรณะมาแล้ว 1 ครั้ง การบูรณะ
ครั้งหลังสุดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗  เป็นการบูรณะครั้งที่ ๒ 
  ปัจจุบันประชาชนมีความเลื่อมในศรัทธาในองค์พระธาตุ และหลวงปู่เกลี้ยงเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้ จึงมีญาติธรรมจากทั่วประเทศมา
นมัสการขอพร เป็นประจำ ความสำคัญ เป็นโบราณสถานที่เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วประเทศ  เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้า
ทางด้านพระพุทธศาสนา ในภูมิภาค และในจังหวัดศรีะเกษ และศึกษาชุมชนโบราณและพัฒนาการของชุมชนในบริเวณพื้นที่จังหวัด
ศรีสะเกษ ซึ่งเมื่อต้นเดือน กันยายน ๒๕๔๘ นายชัยขรรค์ สีลวานิช นักโบราณคดีและคณะได้เดินทางไปสำรวจแหล่งโบราณคดีที่
หมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง ได้สอบถามหลวงปู่เกลี้ยง  เจ้าอาวาสวัด และคณะกรรมการวัด หลวงปู่เล่าว่าพื้นที่บริเวณบ้านโนนแกด
  บ้านโนนตูม ชาวบ้านขุดค้นพบ วัตถุโบราณจำนวน มาก มีนักสะสม วัตถุโบราณมาซื้อถึงบ้าน บางแห่งขุดพบโครงกระดูกมนุษย์
โบราณก็ได้นำกระดูก ขึ้นมาเผาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปแล้วก็มีส่วนหม้อดิน คนโท โบราณและเครื่องเคลือบดินเผาบางส่วนได้นำมา
มอบให้หลวงปู่ เก็บรักษาไว้หลวงปู่ได้นำมาให้ นายชัยขรรค์ สีลวานิช  พิจารณาอายุ พบว่า เป็นภาชนะดินเผาลายเชือกทาบสีแดง
๒๑ใบ และแบบผิวเรียบ ๑ ใบ สภาพสมบูรณ์ สันนิษฐานว่าเป็นภาชนะดินเผา ยุคก่อนประวัติศาสตร์รุ่นเดียวกับ ภาชนะดินเผา
บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีอายุประมาณ ๓,๐๐๐ ปี ส่วนคนโทเท้าช้าง ไหสี่หู และกระปุกดินเผาเคลือบ เป็นภาชนะขอมโบราณ
อายุกว่าพันปี












ผามออีแดง
 
ที่ตั้ง  ภาพสลักผามออีแดง ตั้งอยู่บนหน้าผา ผามออีแดงเทือกเขาพนมดงเร็ก
เขตบ้านภูมิซร็อล ตำบลเสาธงชัย  อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
ติดกับสถานที่ จ อดรถผามออีแดง
ระยะทาง  เดินทางตามถนนศรีสะเกษ-เขาพระวิหาร (สุดเส้นทาง) ระยะทาง
๙๐  กิโลเมตร
สภาพทั่วไป  ผามออีแดงเป็นหน้าผาหัก สุดเขตเทือกเขาพนมดงรักเป็นจุดชมวิว
ที่สวยงามมาก เมื่อเดินขึ้นไปจะเป็นจุดชมทิวทัศน์ มีศาลาพักผ่อนนั่งชมทิวทัศน์
เลยออกไปจะมีทางเดินลงดูหน้าผาหินทราย มีทั้งภาพสลักนูนต่ำและลายเส้น
ภาพกลุ่มแรกเป็นภาพบุคคลนั่งเรียงกัน ภาพกลุ่มสองเป็นภาพบุคคลนั่งมีนาค
๕ เศียร ขนาบข้างด้วยหมู ๒ ตัว ความสูงจาก ระดับน้ำทะเล ประมาณ๕๖๐ เมตร
หากย้อนกลับมาประมาณ ๑ กิโลเมตร เลี้ยวขวาไปตามถนนลูกรัง ๔ กิโลเมตร
ก็สามารถชมปราสาทโดนตวล โบราณสถานเก่าแก่ที่สุดของจังหวัดศรีสะเกษ ที่
สร้างขึ้นก่อนปราสาทหินเขาพระวิหาร
ความสำคัญ  เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา เป็น
สถานที่ท่องเที่ยวของไทยที่สวยงามมาก  สามารถใช้กล้องส่องทางไกล ส่องดูเขาพระวิหารได้หากไม่มีเวลาขึ้นชม นอกจาก นี้ยังเป็นบริเวณ
ที่สามารถพานักเรียน นักศึกษาไปศึกษาสภาพทางธรณีวิทยาของเทือกเขาพนมดงเร็ก ได้ดีและง่ายที่สุด เพราะสามารถขึ้นลงได้ตลอดเวลา 
ไม่ต้องเสียค่าผ่านทาง สถูปคู่  บริเวณเชิงเขาผามออีแดงกับเชิงเขา ที่ตั้งปราสาทหินเขาพระวิหารจะมีสถูปสี่เหลี่ยมสององค์ สถูปคู่นี้
สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างมาตั้งแต่ ช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๖ อายุกว่าพันป






ปราสาทโดนตวล





ที่ตั้ง ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาพนมดงเร็ก ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
ระยะทาง เดินทางด้วยถนนราดยาง สายกันทรลัษ์-เขาพระวิหาร ๓๐ กิโลเมตร ก่อนขึ้นผามออีแดงเลี้ยวซ้ายไปตามถนนลูกรัง ๓.๕ 
กิโลเมตร  ก็จะถึงปราสาทโดนตวล
สภาพทั่วไป ปรางค์เป็นปรางค์เดี่ยว ผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวประมาณ ๗ เมตร ย่อมุมทั้ง ๔ ด้าน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
ตัวปรางค์ ก่อด้วย อิฐครึ่งหนึ่งและก่อด้วยศิลาแลงครึ่งหนึ่งโดยก่อศิลาแลงจากฐานถึงครึ่งผนังเรือนธาตุ จากนั้นก่อขึ้นไปด้วย
อิฐฝนเรียบไม่สอปูนจนถึงยอดปรางค์  บริเวณทางเข้าทำเป็นมุขยื่นออกไป ผนังของมุขเป็นอิฐ หลังคาคาดว่าจะเป็นเครื่องไม้
มุงกระเบื้องยาวประมาณ ๕-๗ เมตร สังเกตได้จากการเซาะร่องโครงสร้างหลังคาและขอบกระเบื้อง ที่ผนังองค์ปรางค์ด้านหน้า
ต่อจากมุขมีแนวเสาหินทราย ๔ ต้น สันนิษฐานว่า เป็นเสารองรับหลังคาห้องโถง หรือที่เรียกว่า มณฑป ทางเข้ามณฑปมีวงกลม
ประตู ๓ ช่อง วงกบประตูทั้งสองข้าง มีจารึกปรากฎอยู่เสาศิลาทราย
ถัดจากประตูทางเข้าปราสาทออกมา มีเสาศิลาทราย อยู่อีก ๔ ด้าน
สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นซุ้ม โคปุระ แต่ไม่ปรากฎว่ามีกรอบประตู 
พบหินทราย ลักษณะเป็นธรณี ประตูตั้งไว้ ระหว่างเสาและหน้า
ธรณีประตูมีอัฒจันทร์  หินทรายวางอยู่ด้านตะวันออกเฉียงใต้ของ
ปรางค์มีหินทรายเรียงต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างยาว
ประมาณ ๓x๕ เมตร สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นบรรณาลัย และมี
สระน้ำ ลักษณะเป็นคันดินมีน้ำขัง อายุสมัย ราวพุทธศตวรรษที่
๑๖  หลักฐานจารึก ปราสาทโดนตวล ๑ เลขที่ ศก. ๙ จารึกที่กรอบ
ประตูด้วยอักษรขอมโบราณ ภาษาเขมร-สันสกฤต  จำนวน ๑ ด้าน
มี ๓ บรรทัด ระบุมหาศักราช ๙๒๔  ซึ่งตรงกับ พ.ศ.๑๕๔๕  เป็น
จารึกที่เก่าแก่กว่า จารึกปราสาทเขาพระวิหาร ๑ เลขที่ ศก.๕ ระบุ
มหาศักราช ๙๕๙ ซึ่งตรงกับ  พ.ศ. ๑๕๘๐



ปราสาทสระกำแพงใหญ่
 
ที่ตั้ง  ปราสาทสระกำแพงใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของบ้านกำแพง หมู่ที่ ๑
ตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ 

ระยะทาง  การเดินทาง หากเริ่มจากที่ว่าการอำเภออุทุมพรพิสัย สามารถ
เดินทางโดยรถยนต์ ตามทางหลวงหมายเลข ๒๒๖ เส้นทางไปจังหวัด
สุรินทร์ ระยะทางประมาณ ๒ กิโลเมตร ถึงบ้านสระกำแพง เลี้ยวซ้ายเข้าไป
ประมาณ ๓๐๐ เมตร ก็จะถึงตัวปราสาทซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดสระกำแพงใหญ่
สภาพทั่วไป  จากการศึกษาภาพถ่ายทางอากาศ แสดงให้เห็นว่าปราสาท
สระกำแพงใหญ่น่าจะมีชุมชนรายล้อมอย่างหนาแน่น ทางทิศตะวันออก-
เฉียงใต้ ห่างออกไปประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ เมตร มีสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่
อยู่สระหนึ่ง เรียกว่า "สระกำแพง" สันนิษฐานว่าน่าจะขุดขึ้นเมื่อครั้งสร้าง
ปราสาท ส่วนแหล่งน้ำธรรมชาติ หนองน้ำ จะอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของ
หมู่บ้าน บางแห่งมี น้ำเกือบตลอดปี เป็นต้นว่า หนองฮี ส่วนทางทิศตะวันออก
ก็มีลำห้วยเล็กๆ ไหลผ่านคือ ห้วยตาเหมา ซึ่งเป็นลำห้วยสาขาที่แยกออกมา
จากห้วยสำราญที่อยู่ทางทิศตะวันออกและทิศใต้ของปราสาทสระกำแพงใหญ่ 
พื้นที่บริเวณนี้  เป็นที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ของห้วยสำราญจด
เขตแดน อำเภอขุขันธ์ ปรางค์กู่ ส่วนพื้นที่ทางทิศตะวันตกเป็นที่ราบสูง
เลยไปอีก ๑๒ กิโลเมตร เป็นลำห้วยทับทัน
     ความสำคัญ  ปราสาทสระกำแพงใหญ่ สร้างขึ้นในศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธแบบมหายาน  เพื่อเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปหรือศิวลึงค์ จารึก
ภาษาเขมร  เช่น จารึกปราสาทหินพนมวัน ๓  จะเรียกปราสาทเหล่านี้ว่า อาศรม  ซึ่งมีความหมาย เช่นเดียวกับ เทวาลัย ศาสนาฮินดูถือว่า เทวาลัย
เป็นเสมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์  เป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้า  ประติมากรรม ภาพสลักที่ปรากฎตามทับหลังและหน้าบัน และจากการขุดแต่งบูรณะ
ปราสาทแห่งนี้ ของกรมศิลปากร เมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๒ ได้ค้นพบประติมากรรมสำริด ขนาดใหญ่ เฉพาะองค สูง ๑๔๐
เซนติเมตร  และรวมความสูง ทั้งฐาน ๑๘๐  เซนติเมตร  ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ให้ความเห็นว่าเป็นรูปของนันทิเกศวร หรือ
นันทีศวร ลักษณะพิเศษ คือเป็นสำริดกะไหล่ทอง  อาจจะตั้งอยู่ หน้าปราสาทหลังกลางภายในมุขหน้าปราสาท เพราะโดยปกติจะประจำอยู่กับ
เทวาลัยของพระอิศวรประติมากรรมชิ้นนี้เป็นศิลปะขอมแบบ บาปวนตอนปลาย สำคัญมาก นับเป็นประติมากรรมชิ้นเอกชิ้นหนึ่งที่พบใน
ประเทศไทย  ปัจจุบันจัดแสดง ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพิมาย จังหวัดนครราชสีมา โบราณสถานและโบราณวัตถุเหล่านี้เป็นสื่อกลาง
ถ่ายทอดเรื่องราว ตามคำภีร์ ในลัทธิศาสนาต่างๆ ซึ่งช่วยให้ศาสนิกชนสามารถเข้าถึงเทพเจ้าได้ง่ายยิ่งขึ้น  นอกจากเป็นศูนย์กลางการศาสนา
แล้วเทวาลัยยังเป็นที่พึ่งทางใจ และเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าด้านวัฒนธรรม ของประชาชนในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ในสมัยโบราณสืบเนื่อง
มาจนถึงปัจจุบัน

ลักษณะแผนผัง  
      ลักษณะแผนผังปราสาทสระกำแพงใหญ่ ประกอบด้วยระเบียงคตรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง ๔๙ เมตร ยาว ๖๗ เมตร ล้อมรอบกลุ่ม
ปราสาทอิฐและบรรณาลัย รวมทั้งหมด ๖ หลัง     กลุ่มปราสาทประธานซึ่งอยู่ตรงกลางเป็นปราสาทอิฐ ๓ หลัง ตั้งเรียงอยู่บนฐานศิลาแลง
เดียวกันตามแนวแกนทิศเหนือ-ใต้ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก  โดยปราสาท องค์กลางตั้งอยู่ในแนวตรงกับซุ้มโคปุระของระเบียงคต
ด้านทิศตะวันออก-ตะวันตก ถัดจากปราสาทอิฐองค์ทิศใต้ไปทางทิศตะวันตกราว ๘ เมตร มีปราสาทอิฐ ๑ หลัง รูปแบบเดียวกับกลุ่ม
ปราสาทประธานและหันหน้าไปทางทิศตะวันออก    ด้านหน้าของกลุ่มปราสาทประธานมีอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า (บรรณาลัย) ก่อด้วยอิฐ
จำนวน ๒ หลัง ตั้งเยื้องไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากปราสาทไปทางด้านทิศตะวันออกประมาณ
๔๕๐ เมตร มีบารายหรือสระน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกว้างประมาณ ๑๖๐ เมตร ยาว ๓๒๐ เมตร  ชื่อว่า "สระกำแพง" ซึ่งเคยมี ร่องรอยของถนน

ปูด้วยศิลาแลงทอดมาเชื่อมกับบริเวณตัวปราสาทสระกำแพงใหญ่ด้วย     ศาสนสถานที่มีลักษณะ
เป็นพระปรางค์อิฐจำนวน ๓ องค์ บนฐาน เดียวกันเช่นเดียวกับปราสาทสระกำแพงน้อยในเขต
จังหวัดศรีสะเกษนั้น ได้พบตลอดแนวห้วยสำราญจากทิศเหนือจรดใต้  ได้แก่  ปราสาทกู่สมบูรณ์
ปราสาทบ้านปราสาท ปราสาทปรางค์กู่ และปราสาทภูฝ้าย นอกจากนั้น ยังพบกระจายทั่วไป
ตามแนวลำน้ำสาขาของแม่น้ำมูล แม่น้ำชีคือ ลำนางรอง ห้วยทับทัน ลำโดมใหญ่ ลำจักราช
ลำเสียว แม่น้ำชี ห้วยเสนง ดังนี้
     กลุ่มลำน้ำสาขาของแม่น้ำมูล ได้แก่ ลำนางรอง ปราสาทหนองหงส์ และปราสาทกู่สวนแตง
จังหวัดบุรีรัมย์ ห้วยทับทัน ปราสาทบ้านปราสาท จังหวัดศรีสะเกษ ลำโดมใหญ่  ปราสาท
นองทองหลาง ปราสาทบ้านเบ็ญหรือปราสาทหนองเบ็ญ ปราสาทภูปราสาท จังหวัดอุบลราชธานี  
ลำจักราช ปราสาทบ้านกระถิน จังหวัดนครราชสีมา ลำเสียว  กู่พระโกนา จังหวัดร้อยเอ็ด และ
กู่พราหมณ์จำศีล จังหวัดนครราชสีมา  กลุ่มลำน้ำชีและสาขา ได้แก่ แม่น้ำชี ปราสาทใบแบก
จังหวัดบุรีรัมย์ ห้วยเสนง ปราสาทบ้านไพล จังหวัดสุรินทร์
     ปราาสาทสระกำแพงใหญ่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่จัดได้ว่ามีความโดดเด่นไม่แพ่ปราสาทอื่น ทั้งการจัดวางรูปแบบแผนผังของ
อาคารทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งรรณาลัยระเบียบคต ตลอดจนการแกะสลักลวดลายบนหน้าบันและทับหลังประดับที่มีความงดงามอย่างยิ่ง
 โดยเฉพาะเนื้อหาเรื่องราวของภาพที่ช่างได้เลือกสรรมานั้นน่าสนใจมาก
๑. กลุ่มปราสาทประธาน
  
   กลุ่มปราสาทประธานของปราสาทสระกำแพงใหญ่ มีลักษณะเป็นพระปรางค์ ๓ องค์ตั้งบนฐานเดียวกัน ล้อมรอบด้วยระเบียงคต
มีโคปุระประจำทิศทั้งสี่ โดยปราสาทหลังกลางจะตั้งอยู่ในแนวแกนตรงกันกับโคปุระทั้ง ๔ ด้าน  ปราสาททั้ง ๓ หลังนี้ตั้งอยู่บนฐานหิน
ฐานเดียวกันก่อด้วยศิลาแลงแต่ละหลังยกพื้นด้วยฐานหินเรียบๆ อีก ๑ ชั้น ทั้งหมดมีรูปแบบและแผนผังเช่นเดียวกัน คือเป็น
ปราสาทสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อเก็จขนาด ๖x๖ เมตร ก่อด้วยอิฐ มีบันไดทางขึ้นทั้ง ๔ ทิศ ประตูทางเข้าอยู่ด้านหน้า (ด้านทิศตะวันออก) เพียง
ด้านเดียว ส่วนอีก ๓ ด้านก่อเป็นประตูหลอกเหนือองค์เรือนธาตุขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันไม่ปรากฏหลักฐานแล้ว  สันนิษฐานว่าเป็นชั้นจำลอง
อาคารลดหลั่นกันขึ้นไป ๔ ชั้น รองรับชุดบัวยอดซึ่งซ้อนกัน ๓ ชั้น
     ปราสาทหลังกลางหรือปราสาทประธานตั้งอยู่บนฐานศิลาทรายขนาด ๑๐x๑๕ เมตร เป็นฐานสูงกว่า พระปรางค์ ๒  องค์ ในส่วนฐาน
ประตูหลอกและเครื่องบนซึ่งก่อด้วยศิลาทราย ด้านหน้ามีมุขยื่นออกมาราว ๓ เมตร
     หน้าบันของมุขหน้าสลักภาพศิวนาฎราช (พระศิวะทรงฟ้อนรำ) บริเวณเหนือรอบประตูชั้นในมีทับหลังสลักเป็นรูปพระอินทร์
ทรงช้างเอราวัณ ซึ่งเป็นชิ้นที่นับว่างดงาม ที่สุดชิ้นหนึ่งของประเทศไทย
     ปราสาทหลังทิศเหนือและใต้ซึ่งตั้งขนาบปราสาทประธานนั้นมีรูปแบบแผนผังเช่นเดียวกัน รวมทั้งลักษณะลวดลายของอัฒจันทร์
บริเวณบันไดทางขึ้น  และภาพสลักเล่าเรื่องบนทับหลังเหนือกรอบประตูด้านหน้าของปราสาททั้ง ๒ ซึ่งเป็นรูปบุคคลอยู่ภายในซุ้ม
เรือนแก้วประทับนั่งเหนือหน้ากาลที่กำลังคายท่อนพวงมาลัย

๒. ปราสาทเดี่ยว
     
เป็นปราสาทก่อด้วยอิฐขัดฝนเรียบ ก่อเรียงกันแนบสนิท เช่นเดียวกับปราสาทหลังอื่นๆ ตั้งอยู่ทางด้านหลังของกลุ่มปราสาทประธาน
องค์ทิศใต้ หรือทางด้านมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ ภายในระเบียงคต ปราสาทหลังนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีประตูทางเข้าด้านเดียว
 กรอบประตูและเสาแปดเหลี่ยมประดับกรอบประตูทำด้วยหินทรายสีขาวผนังอีกสามด้านตกแต่งเป็นประตูหลอกหรือประตูเลียนแบบ
ของจริงซึ่งประกอบด้วยกรอบประตูและอกเลา

๓. บรรณาลัย
     
อาคารก่อด้วยอิฐ ๒ หลังซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับกลุ่มปราสาทประธานค่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้ 
โดยหันหน้าเข้าสู่ปราสาทประธานหรือหันมาทางทิศตะวันตก  น่าจะเป็นอาคารบรรณาลัย หรือห้องสมุดซึ่งใช้สำหรับเก็บคัมภีร์และ
ตำราต่างๆ  อาคารทั้ง ๒ หลังนี้มีลักษณะเดียวกัน คือ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด ๗x๑๓ เมตร ส่วนตัวอาคาร
มีขนาด ๖x๗ เมตร ด้านหน้ามีมุขยื่นออกมาขนาด ๒x๔ เมตร มีบันไดทางขึ้นทั้งด้านหน้า-หลัง แต่ประตูทางเข้ามีเพียงด้านหน้าด้านเดียว
     บรรณาลัยทั้ง ๒ หลังมีทับหลังประดับอยู่หลังละ๒ แห่ง คือ บริเวณเหนือกรอบประตูของมุขด้านหน้า และเหนือกรอบประตูห้องชั้นใน
บรรณาลัยทิศเหนือ บริเวณเหนือกรอบประตูของมุขหน้า  มีทับหลังเล่าเรื่องพระกฤษณะต่อสู้กับม้าเกษี ส่วนเหนือกรอบประตูชั้นใน
เป็นเรื่องนารายณ์บรรทมสินธุ์
     บรรณาลัยทิศใต้ บริเวณเหนือกรอบประตูของมุขหน้า มีทับหลังภาพคชลักษมี ส่วนเหนือกรอบประตูชั้นในเป็นทับหลังรูปพระศิวะอุมา
ทรงโคนนทิหรืออุมา-มเหศวร

๔. ระเบียงคต
  
   ระเบียงคตเป็นกำแพงที่ล้อมรอบปราสาทอิฐและบรรณาลัยนั้นมีลักษณะเป็นห้องยาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่อด้วยศิลาแลง ความยาว
โดยรอบ ๖๗ เมตร กว้าง ๔๙ เมตร ภายในระเบียบคตเป็นช่องทางเดิน กว้างประมาณ ๒.๙๐-๓.๐๐ เมตร พื้นปูด้วยศิลาแลง ไม่สามารถ
เดินทะลุกันได้โดยตลอด เพราะมีผนังกั้นเป็นช่วงๆ ระเบียงคตทั้ง๔ ด้าน มีโคปุระ (ซุ้มประตู) อยู่ตรงกลาง โคปุระด้านทิศตะวันออก
และทิศตะวันตกเท่านั้นที่มีลักษณะเป็นรูปกากบาท โคปุระด้านหน้าของศาสนสถานหรือด้านทิศตะวันออก มีลักษณะเป็นซุ้มปีกกาต่อกับ
บันไดทางขึ้นบริเวณมุขหน้า-มุขหลังเข้าสู่ภายใน ด้านข้างชักปีกออก เชื่อมต่อกับห้องยาวของระเบียงคตสามารถเดินทะลุผ่านไปยัง
ระเบียงคต ด้านทิศเหนือ-ใต้ได้ที่ห้องยาวทั้งสองด้านมีประตูผ่าานเข้าสู่ภายในศาสนสถาน ส่วนโคปุระด้านทิศเหนือ-ใต้มีลักษณะเป็น
ห้องทึบตัน  เข้าสู่ภายในโคปุระได้จากประตูด้านหน้า เท่านั้น ไม่สามารถเดินผ่านตลอดได้เช่นเดียวกับด้านทิศตะวันออก
     ผนังระเบียงคตทั้งด้านนอกและด้านในมีช่องหน้าต่างเว้นช่วงเป็นระยะๆ ประดับด้วยลูกกรงหินทราย เรียกว่า ลูกทรงมะหวด บริเวณ
โคปุระด้านทิศตะวันออก มุขด้านหน้าและด้านหลังค่อนข้างโปร่ง มีหน้าต่างที่ผนังทั้ง๒ ด้าน ส่วนซุ้มปีกกาผนังด้านนอกเท่านั้นที่มีช่อง
หน้าต่างสลับกับผนังด้านในช่องระเบียงคตช่วงถัดไปที่ต่อกับระเบียงคต ด้านทิศใต้และด้านทิศเหนือ ซึ่งจะมีหน้าต่างด้านละ ๒ ช่อง
     ระเบียงคตด้านทิศตะวันตกมีลักษณะคล้ายด้านทิศตะวันออกมากในส่วนของโคปุระซึ่งมีซุ้มปีกกา แต่ไม่มีประตูข้าง และผนังของ
ห้องข้างๆ กั้นทึบไม่สามารถเดินผ่าน ตลอดได้
     ระเบียบคตด้านทิศเหนือฝั่งตะวันออกที่ผนังด้านในมีหน้าต่างๆ ๓ ช่องด้านนอกเป็นผนังทึบระเบียบคตด้านนี้มีผนังกั้นไม่เชื่อมต่อ
กับส่วนโคปุระ ซึ่งโคปุระด้านทิศเหนือมีลักษณะเป็นห้องยาวที่มีมุข ยื่นออกมาทางด้านหน้าเท่านั้น ไม่ใช่ซุ้มปีกกาเช่นด้านทิศตะวันออก
และตะวันตก ปัจจุบันโคปุระ และระเบียงคตฝั่งตะวันตกเหลือแต่เพียงฐานเท่านั้น
     ระเบียงคตด้านทิศใต้ซีกตะวันออกที่ผนังทั้ง ๒ ด้านมีหน้าต่างด้าน ละ ๓ ช่องเช่นเดียวกับระเบียงคตด้านทิศเหนือ ซึ่งตอนไม่มีผนังกั้น
แยกจากส่วนโคปุระ โคปุระมีลักษณะเป็นห้องยาว มีปีกต่ออกไปทั้ง ๒ ด้าน เชื่อมระหว่างกันด้วยประตู แต่สามารถเข้าออกได้ทางประตูหน้า
เท่านั้น ผนังด้านในของโคปุระมีหน้าต่าง ๒ ช่อง ส่วนผนังด้านนอกเจาะช่องหน้าต่าง ๓ ช่อง ส่วนห้องที่ต่อออกไปด้านข้างมีหน้าต่างที่
ผนังทั้ง ๒ ด้าน ด้านละ ๒ ช่อง ผนังห้องนี้ตัน จึงไม่สามารถออกสู่ห้องยาวบริเวณซีกตะวันตกของระเบียงคตได้ซึ่งห้องยาวด้านนี้มี
ลักษณะเช่นเดียวกับทางมุมตะวันออกคือผนังทั้ง ๒ ด้าน มีหน้าต่างด้านละ๓  ช่องและมีประตูเชื่อมต่อกับระเบียงคตด้านทิศตะวันตก
จารึกปราสาทสระกำแพงใหญ่
     จารึกปราสาทสระกำแพงใหญ่ ที่กรอบประตูระเบียงคต มีทั้งหมด ๓๓ บรรทัด เนื้อความย่อมีดังนี้ พระกัมรเตงอัญศิวทาส คุณโทษ
พระสภาแห่งกัมรเตงชคตศรีพฤทเธศวรเมืองสดุกอำพิลร่วมกับข้าราชการคนอื่นๆ คือ พระกัมรเตง อัญขทุรอุปกัลปดาบส
 พระกัมรเตงอัญศิขเรสวัตพระธรรมศาสตร์ และพระกัมรเตงอัญผู้ตรวจราชการ แต่ละปักษ์ซื้อที่ดินซึ่งอยู่ติดกับตระพัง (สระน้ำ)
 เพื่อถวายให้แก่กัมรเตงชคตศรีพฤทเธศวรรูปประธานของศาสนสถานแห่งนี้ในวันวิศุวสงกรานต์ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน๕ มหาศักราช ๙๖๔ 
(พ.ศ.๑๕๘๕)
     นอกจากนี้ยังได้ถวายข้าวสาร 1 กระบุง ข้าทาสที่ถวายไว้สำหรับทำหน้าที่ในวันข้างขึ้น(กุศลปักษ์) มีไตกันโส ไตกำพฤก ไตถะเกน
 ไตกะเชณ สิฤทธิบูร สำหรับทำหน้าที่ในวันข้างแรม (กฤษณปักษ์) มีไตกันธน ไตกำสด ไตสมากุล สิกำพิด สิสำอบ สิกำไพ อายุของ
ปราสาท
     ปราสาทสระกำแพงใหญ่ หรือ กัมรเตงชคตศรีพฤทเธศวร เป็นศาสนสถานขอมที่น่าจะสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑
ช่วงเดียวกันกับการต่อเติมปราสาทเขาพระวิหาร ดังที่ปรากฏในจารึกปราสาทเขาพระวิหาร ๑ ในราวปี พ.ศ. ๑๕๘๑ ว่าศรีสุกรรมา-
กำเสตงงิ นายช่างผู้สร้างแนวกำแพงที่ปราสาทเขาพระวิหารเป็นผู้สร้างแนวกำแพงปราสาทสระกำแพงใหญ่ด้วย อีกไม่กี่ปีต่อมา
คือราวปี พ.ศ. ๑๕๘๕ พระกมรเตงอัญศิวทาสแห่งเมืองสตุกอำพิล เพิ่มอีกนอกจากนี้ยังให้รางวัลแก่นายช่างผู้ทำการ คือ ช่างสลัก
ช่างปูลาดตามที่ปรากฏหลักฐานจากจารึกกรอบประตูชั้นที่ ๓ ของโคปุระ ระเบียงคตด้านทิศตะวันออกของปราสาทสระกำแพงใหญ่
     เมื่อพิจารณารูปแบบแผนผังของปราสาทสระกำแพงใหญ่ ซึ่งเป็นปราสาท ๓ หลังนั้นพบว่าเป็นรูปแบบที่นิยมทั่วไปในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖  สอดคล้องกับจารึกกรอบประตูและลวดลายของทับหลัง
หน้าบันทั้งหมดที่ประกอบในกลุ่มปราสาทประธานและบรรณาลัย รวมทั้งทวารบาลและพระพุทธรูปที่พบ ล้วนมีรูปแบบศิลปกรรม
สมัยบาปวน อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ทั้งสิ้น รวมทั้งทับหลังโคปุระด้านทิศใต้และเหนือกรอบประตูชั้นที่ ๒ ของโคปุระด้านทิศ
ตะวันออก ซึ่งมีรูปแบบศิลปกรรมสมัยบาปวน ส่วนบริเวณระเบียงคตทับหลัง กรอบประตูเกือบทุกชิ้นเป็นศิลปกรรมของสมัย
บายน อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘
     ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดู ภาพสลักเล่าเรื่องจากหน้าบันและทับหลังเป็นภาพที่เกี่ยวเนื่องกับเทพสูงสุดทั้งใน
ลัทธิไศวนิกายและไวษณพนิกาย แต่เมื่อพิจารณาจากภาพสลักที่หน้าบัน ด้านทิศตะวันออกของปราสาทประธานซึ่งเป็นภาพ
ศิวนาฎราช ปราสาทแห่งนี้จึงน่าจะสร้างขึ้นในลัทธิไศวนิกาย(นับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด) อย่างไรก็ตาม ที่ปราสาทแห่งนี้
ได้ค้นพบพระพุทธรูปนาคปรกศิลา จึงสันนิษฐานว่าศาสนสถานแห่งนี้อาจเป็นทั้งเทวาลัยและพุทธสถานด้วย
     บริเวณปราสาทสระกำแพงใหญ่น่าจะเป็นศูนย์กลางชุมชนที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และยังคงความสำคัญเรื่อยมา
 โดยเฉพาะในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ในรัชสมัยกษัตริย์กัมพูชา คือ พระเจ้าสุริยะวรมันที่ ๑ ได้พยายามขยายชุมชนเขมาเข้ามา
ทางด้านตะวันตกหรือเข้าสู่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยามากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับจารึกของพระองค์ซึ่งพบเข้ามาทางตอนกลาง
ของประเทศไทยถึงจังหวัดลพบุรี  เส้นทางคมนาคมสำคัญจากเมืองพระนครเข้ามาทางช่องเขาต่างๆ ของเทือกเขา
พนมดงเร็ก  ผ่านลำน้ำสาขาขึ้นมายังแม่น้ำมูลตลอดไปทางตะวันตกผ่านเทือกเขาพนมดงพญาเย็นเข้าสู่ภาคกลางบริเวณ
จังหวัดลพบุรี ได้ปรากฏจำนวนปราสาทเขมรเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อนเป็นทวีคูณ รวมทั้งศาสนสถานขนาดใหญ่ในพื้นที่สำคัญ
ซึ่งเป็นศูนย์กลางชุมชนขนาดใหญ่แต่ละจุด เป็นต้นว่า ปราสาทหินพนมรุ้ง  ปราสาทหินพิมาย โดยเฉพาะปราสาทเขาพระวิหาร
ซึ่งเสมือนเป็นศาสนบรรพตสำคัญในเส้นทางจากแผ่นดินเขมรต่ำที่ตั้งของเมืองพระนครขึ้นสู่พื้นที่เขมรในภาคตะวันออก-
เฉียงเหนือของไทย  โดยมีปราสาทสระกำแพงใหญ่เป็นศาสนสถานสำคัญอีกแห่งหนึ่งก่อนเข้าสู่ลุ่มน้ำมูลในรัชสมัยพระเจ้า-
สุริยวร มันที่ ๑ นี้ การผสมผสานทางศาสนาระหว่างลัทธิไศวนิกายกับไวษณพนิกายมีมากขึ้น รวมทั้งมีการนับถือพุทธศาสนาด้วย
ในขณะเดียวกันจารึกในรัชกาลของพระองค์หลายหลัก เช่น จารึกปราสาทพระขรรค์ที่กำแพงสวาย ได้เริ่มต้นด้วยการสรรเสริญ
พระศิวนาฎราช ต่อจากนั้นในบทที่ ๒  จึงสรรเสริญพระพุทธคุณ บทที่ ๓ เป็นการผสมกันระหว่างลัทธิไศวนิกายและพุทธศาสนา
เช่นเดียวกับจารึกปราสาทหินพิมาย ด้านหนึ่งได้กล่าวสรรเสริญพระอิศวร ด้านหนึ่งกลับสรรเสริญพระพุทธคุณ
     นอกจากนี้จารึกจากตวลตาเปจ ซึ่งกล่าวถึงพราหมณ์ราเชนทรบัณฑิตผู้รับราชการอยู่กับพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ได้กล่าวขอพร
จากพระพุทธองค์พระไวษณพ และพระมเหศะ(พระศิวะ) ในขณะเดียวกัน ทั้งหมดนี้ล้วนสะท้อนภาพรวมของการนับถือศาสนา
ในรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ได้เป็นอย่างดี
     ดังนั้น การปรากฎภาพเล่าเรื่องในลัทธิไศวนิกายบนหน้าบันปราสาทประธานปราสาทสาระกำแพงใหญ่ และการประดิษฐาน
พระพุทธรูปนาคปรกในขณะเดียวกันจึงน่าจะเป็นลักษณะปกติตามความนิยมร่วมสมัยนั้นเอง
     ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ รัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ซึ่งเป็นสมัยที่พุทธศาสนาลัทธิมหายานได้รับการส่งเสริมมากที่สุด
ในอาณาจักรขอม ปราสาทสระกำแพงใหญ่เองก็มีการก่อสร้างเพิ่มเติม ในส่วนของทับหลังประดับกรอบประตูระเบียงคต 
พระพุทธศาสนาคงได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังในช่วงนี้ ดังได้พบแม่พิมพ์ดินเผาในศิลปะแบบบายนที่บรรณาลัยด้าน
ทิศเหนือ  ส่วนพื้นที่แถบนี้พระองค์ ได้โปรดให้สร้าง "อโรคยาศาล" (ศาสนสถานประจำโรงพยาบาล) ขึ้นในบริเวณใกล้ชุมชนใหญ่
ใกล้ปราสาทสระกำแพงใหญ่ และปราสาทบ้านสมอใกล้ปราสาทปรางค์กู่

 




ปราสาทสระกำแพงน้อย


ที่ตั้ง
  วัดสระกำแพงน้อย บ้านกลาง ตำบลขะยูง อำเภออุทุมพรพิสัย
จังหวัดศรีสะเกษ 

ระยะทาง
  เดินทางตามถนนสาย ศรีสะเกษ-อุทุมพรพิสัย ระยะทาง ๘
กิโลเมตร
สภาพทั่วไป    ปรางค์ก่อด้วยศิลาแลงทั้งหลัง ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม
มีมุขต่อออกไปทางตะวันออกเชื่อมต่อกับฐาน มีวิหารผังรูปสี่เหลี่ยม
ผืนผ้า ซึ่งยังมีทับหลังศิลาทราย จำหลักเป็นรูปพระศิวะและพระอุมา
ประทับบนหลังโคนนทิ  พร้อมแท่นฐานศิวะลึงค์หินทรายตั้งอยู่
     บรรณาลัยก่อด้วยศิลาแลงอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ โคปุระก่อด้วย
ศิลาแลงอยู่ทางตะวันออก เชื่อมต่อด้วยกำแพงศิลาแลงล้อมรอบ
องค์ปรางค์ทั้งสี่ด้าน เหนือประตูยังมี ทับหลังศิลาทรายสลักรูป
พระกฤษณะปราบนาคกาลิยะ  มี สระน้ำ
ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ากรุด้วย
ศิลาแลงเป็นขั้นบันไดลงไปทั้งสี่ด้านอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
อายุปราสาท
 สันนิษฐานว่าคงจะมีการก่อสร้าง ๒ สมัย เนื่องจาก
เคยมีทับหลัง ซึ่งกำหนดอายุจาก ภาพสลักได้ราว พุทธศตวรรษ
ที่ ๑๖แต่รูปแบบของสิ่งก่อสร้าง ในปัจจุบันเป็นศิลปะขอมแบบ
บายนร่วมสมัยสมเด็จพระชัยวรมันที่ ๗ มีอายุราวพุทธศตวรรษ ที่ ๑๘




ปราสาทหลุมพุก(ตาเล็ง)


ที่ตั้ง 
      บ้านปราสาท      ตำบลปราสาท   อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
ระยะทาง       ถนนราดยางจากตัวอำเภอขุขันธ์ถึงบ้านปราสาท ระยะทาง
๘ กิโลเมตร
สภาพทั่วไป
     ปราสาทเป็นปรางค์เดี่ยวรูปสี่เหลี่ยมย่อเก็จ ก่อด้วยศิลาทรายเสริมอิฐ
 ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลง มีประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออก กรอบประตู
หินทรายทั้ง สองข้างสลักเป็นตัวหงส์กำลังร่อนอยู่ในลายพันธุ์พฤกษา
กรอบหน้าบันจำหลักรูปมกรคายนาคห้าเศียร  ส่วนยอดองค์ปรางค์
พังทลาย ผนังเรือนธาตุเหลือเพียงบางส่วน พบชิ้นส่วนฐานประติ
มากรรมหน้าบัน และทับหลังตกอยู่รวม ๔ ชิ้น ทับหลังที่ประตูด้าน
ทิศตะวันออกสลักเป็นเกียรติมุขหรือหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัย
ออกมาทั้งสองข้าง มีพวงอุบะและลายใบไม้ม้วนอยู่เหนือเกียรติมุข
สลักเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัน ทับหลังด้านทิศใต้สลักเป็น
รูปเคารพ (พระยมทรงมหิงสา) อยู่เหนือเกียรติมุข ทับหลังด้านทิศ
ตะวันตกสลักเป็นรูปพระวรุณทรงหงส์อยู่เหนือเกียรติมุข ทับหลัง
ด้านทิศเหนือสลักเป็นรูปพระอิศวรทรงโค
     แนวศิลาแลงปรากฏอยู่ทางด้านทิศตะวันออก สันนิษฐานว่าเป็น
ขอบโคปุระส่วนคูน้ำรูปตัวยู สภาพตื้นเขิน ล้อม ๓ ด้าน เว้นทางเข้าด้านทิศตะวันออก และจากโคปุระด้านทิศตะวันออก มีแนว คันดิน
ลักษณะคล้ายถนนตัดตรงสู่สระน้ำขนาดใหญ่ อายุของปราสาท  ราวพุทธศตวรรษ ที่  ๑๖-๑๗


ปราสาทวัดโพธิ์พฤกษ์
 

ที่ตั้ง 
ปราสาทกุดวัดโพธิ์พฤกษ์ ตั้งอยู่ที่วัดโพธิ์พฤกษ์ (วัดเจ๊ก) ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์
จังหวัดศรีสะเกษ ระยะทางห่างจากที่ว่าการ อำเภอขุขันธ์ ตามเส้นทางถนนศรีสะเกษ-ขุขันธ์
๕๐๐ เมตร
สภาพทั่วไป 
       ปราสาทวัดโพธิ์พฤกษ์เป็นปราสาทเดี่ยวหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ไม่ม่ประตูทางเข้า
แต่ทำเป็นประตูหลอก ตัวปราสาทก่อด้วยอิฐ มีสภาพปรักหักพัง  ปัจจุบันคณะสงฆ์ได้ช่วยกัน
อนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งของอำเภอขุขันธ์ อาจเป็นส่วนฐานของพระธาตุ-
เจดีย์ ข้อสันนิษฐานของคณะศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีชาวขุขันธ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๘ เรียกว่า
"เจดีย์กุดวัดเจ็ก"  มีอายุมากกว่าสองร้อยปี จากการบอกเล่าและข้อสันนิษฐานของคนเก่า
คนแก่ น่าจะเป็นที่ขึ้นดูการฝึกช้างหรือฝึกหัดบังคับช้างของคน
ในสมัยนั้น เช่นเดียวกับสถานฝึกช้าง ที่นครธม ประเทศกัมพูชา
ประวัติความเป็นมา เป็นโบราณสถานเก่าแก่พร้อมกับเมืองขุขันธ์ ผู้สูงอายุเล่าว่า นอกจาก
เจดีย์กุดแล้ว ความจริงบริเวณใกล้ๆ เจดีย์กุด ในบริเวณสวนของชาวบ้านเจ็ก ข้างๆ วัดนี้
ยังมีโบราณสถานที่เรียกว่า บัลลังก์ "โคล" มีท่อนหินทราย ที่ถูกขุดกระจัดกระจาย และฐานโยนี
พระอุมา ซึ่งต่อมาได้นำมาเก็บไว้ที่วัดเจ๊ก ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
อายุของปราสาท มีผู้สันนิษฐานว่า สมัยอยุธยาตอนปลาย พุทธศตวรรษที่ ๒๓-๒๔







ปราสาทตำหนักไทร



ที่ตั้ง
  บ้านตำหนักไทร ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นปราสาที่ตั้งอยู่
ต้นน้ำห้วยทา เชิงเขาพนมดงเร็ก ใกล้ชายแดนประเทศกัมพูชา และสามารถขึ้นลงเดินทาง
ผ่านไปยังประเทศกัมพูชาได้โดยผ่านช่องพระพลัย
ระยะทาง  ถนนจากอำเภอขุนหาญ-สำโรงเกียรติ สภาพถนนลาดยาง ระยะทาง ๑๔ กิโลเมตร
สภาพทั่วไป
     ปราสาทตำหนักไทรเป็นปรางค์เดี่ยวรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อด้วยอิฐย่อมุมไม้สิบสองบนฐาน
ศิลาทราย ขนาดกว้างยาวประมาณ ๔x๔ เมตร มีประตูเข้าออกได้ทางเดียว คือ ทางทิศ
ตะวันออกซึ่งเป็นด้านหน้า อีกสามด้านเป็นประตูหลอกสลักเป็นรูปบานประตูลงในเนื้ออิฐ
กรอบประตูด้านหน้าสร้างด้วยศิลาทราย ทับหลังเป็นภาพพระนารายณ์บรรทมสินธุ์เหนือ
พระยาอนันตนาคราช๗ เศียร มีพระชายา คือ พระลักษมีนั่งอยู่ หลังพระชงฆ์ และพระพรหม
ผุดมาจากพระนาภี สองข้างพระพรหมขนาบด้วยรูปฤาษีและบุคคลนั่งในซุ้มเรือนแก้ว
 ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย
     ปัจจุบันมีรูปสิงห์ ๒ ตัว สลักด้วยศิลาทรายลอยตัวอยู่บริเวณทางเข้าหน้าปรางค์ มีบัว
ยอดปรางค์หล่นอยู่หน้าปราสาท เสาประดับกรอบประตูหายไป ส่วนแท่นฐานประติมากรรม
ตั้งอยู่ตรงกลาง ภายในองค์ปรางค์ มีบารายอยู่ด้านทิศตะวันออกของปรางค์ปราสาท
อายุของปราสาท     การพิจารณาอายุปราสาทตำหนักไทร นักโบราณคดีมีความเห็น
แตกต่างกันเพราะปราสาทแห่งนี้มีประติมากรรมหลายชิ้น แต่ละชิ้นเป็นศิลปะขอม
แต่แบบต่างกัน ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล เสนอความคิดเห็นว่า ทับหลัง
บรรทมสินธุ์ของปราสาทแห่งนี้ พระนารายณ์บรรทสินธุ์แบนเรียบไปกับพระยานาค
มิได้ตั้งองค์ขึ้น อาจเก่าถึงพุทธศตวรรษที่๑๓  เมื่อดูใต้ภาพพระนารายบรรทมสินธุ์
มีแนวลายบัวคว่ำ แล้วจึงถึงลายพวงมาลัย มีอุบะคั่นอย่างสวยงาม ซึ่งเป็นศิลปะขอมในระหว่าง พ.ศ.๑๔๐๐-๑๔๕๐ และจากลาย
บนเสาประดับกรอบประตูมีลายใบไม้สลับกับพวงอุบะ ซึ่งเป็นของเก่าในระหว่าง พ.ศ. ๑๔๐๐-๑๔๕๐ แต่เสานี้ก็เป็นเสา ๘ เหลี่ยม
และมีลวดลายประดับ ทั้งที่กึ่งกลางของเสา ที่เสี้ยวและกึ่งกลางของเสี้ยวและยังรักษาลำดับความสำคัญลดหลั่นกันอยู่คงสลักขึ้น
ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๖ หลักฐานที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งคือ อัฒจันทร์ศิลาที่สมภารวัดสำโรงเกียรติ ได้นำมาจากปราสาท
ตำหนักไทรมาเก็บไว้ที่วัด เมื่อพิจารณาจากรูปร่างเทียบเคียงกับอัฒจันทร์ขอม ก็เห็นว่ามีอายุอยู่ในระหว่างต้นพุทธศตวรรษที่
๑๓ จากหลักฐานดังที่ได้กล่าวแล้ว อาจกล่าวได้ว่าปราสาทตำหนักไทรสร้างราว พุทธศตวรรษที่ ๑๕ และ๑๖ หรือหลังจากนั้น
จึงนับว่าเป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดศรีะเกษ
 

ปราสาทภูฝ้าย




ที่ตั้ง 
ปราสาทภูฝ้ายตั้งอยู่บนภูฝ้าย ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ
ระยะทาง ออกจากอำเภอขุนหาญ-อำเภอกันทรลักษ์ สายในซึ่งเป็นเส้นทางลัดตรง
ระยะทางประมาณ ๑๔ กิโลเมตร ก็จะถึงบ้านภูฝ้าย
สภาพทั่วไป
     ภูฝ้ายจะเป็นภูเขาหินบริเวณเชิงเขาจะมีโรงงานโม่หินสำหรับนำไปก่อสร้าง แต่
ปัจจุบันได้ลดปริมาณการผลิตลง ส่วนพื้นที่ดินที่อยู่รอบๆ ทางทิศตะวันออกเป็น
พื้นที่ตำบลกระแซง อำเภอกันทรลักษ์ ทางทิศเหนือเป็นพื้นที่ตำบลไพรและทิศใต้
เป็นพื้นที่ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จะเป็นเขตพื้นที่ที่มีเนื้อดินเป็นสีแดงอุดม
สมบูรณ์เหมาะสมสำหรับปลูกพืชสวนและพืชไร่อย่างกว้างขวาง  ส่วนทางทิศ
ตะวันตกเป็นเขตที่ราบลุ่มห้วยทา ตอนบนเป็นพื้นที่นากว้างใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์
มาก ภูฝ้ายเป็นสันปันน้ำทางตะวันออก น้ำจะรวมกันเป็นร่องน้ำไหลลงห้วยตามาย
ทางซีกใต้และตะวันตกจะไหลลงมาห้วยทา เมื่อถึงเชิงเขาเดินด้วยเท้าขึ้นภูฝ้าย
ซึ่งสูงชันมาก แต่ก็มีเส้นทางเดินเท้า ที่สะดวกพอสมควร เมื่อถึงยอดเขาก็จะถึง
ที่ตั้งปราสาทซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือของสันเขายอดเขาภูฝ้าย ปรางค์ปราสาทจะมี สามหลังเรียงกันในแนวทิศเหนือ-ใต้ ตั้งอยู่บนฐานหิน
เดียวกัน สภาพปรางค์ทั้งสามองค์ อยู่ในสภาพที่หักพังมาก ไม่ได้รับการบูรณะที่ถูกต้อง นอกจากนี้ยังถูกลักลอบ ขุดค้นทำลายเสียหาย
จนเหลือเพียงฐานปรางค์เศษอิฐดินเผาและหินที่เคยเป็นส่วนของปรางค์ปราสาทเกลื่อนกระจาย มีทับหลังรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์
ที่สมบูรณ์และสวยงามมาก คล้ายกับทับหลังของปราสาทตำหนักไทร พระอดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านพรานเกรงจะถูกขโมยจึงพาชาวบ้าน
นำไปเก็บรักษาไว้ที่บ้านพราน ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่วัดสุพรรณรัตน์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ เคยมีเจ้าหน้าที่
กรมศิลปากร
มาขอ เพื่อนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพิมาย แต่ชาวบ้านรักและหวงแหนไม่ยอมมอบให้ ส่วนที่ยังปรากฏเห็นก็คือ
กำแพงแก้วก่อล้อมรอบองค์ปรางค์ปราสาทแห่งนี้มีความแปลกที่ไม่มีบารายอยู่ทางทิศตะวันออกของตัวปราสาท ตามคิตขอม แต่กลับ
มีสระน้ำโบราณอยู่ทางทิศใต้ของภูฝ้าย ชาวบ้านเล่าว่าสระน้ำแห่งนี้  จะมีน้ำใสสะอาดใต้สระน้ำนี้จะมีช่องตาน้ำเชื่อมกับหนองน้ำ
ขนาดใหญ่ที่บ้านกระมัล และหัวน้ำผุดที่อยู่ใกล้บ้านทุ่งเลน บ้านสำโรงเก่า และบ้านดอนข่า ที่มีเรื่องราวเล่าต่อกันมาว่าเคยเป็นที่ตั้ง
เมืองในสมัยโบราณ ปราสาทแห่งนี้จึงควรศึกษาค้นคว้าและบูรณะเพื่อให้เป็นแหล่งโบราณคดีที่มีคุณค่า มีความหมายสำหรับเป็น
แหล่งท่องเที่ยวต่อไป
อายุปราสาท พิจารณาจากพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่อยู่วัดสุพรรณรัตน์ อาจสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ แต่หากพิจารณา
ประติมากรรม ทับหลังนารายณ์ บรรทมสินธุ์อีกชิ้นซึ่งอยู่ที่ปราสาทภูฝ้ายหลังเล็กตะวันออกวัดภูฝ้ายซึ่งพังหมดแล้ว ด้านนอกมี
ศิลาเรียงไว้เป็นกำแพง ขนาด ๕๐x๓๕ เมตร ศาสตราจารย์บวสเซอลีเย่อบอกว่าเป็นฝีมือช่างท้องถิ่น เครื่องประดับและชฎามงกุฎ
ของพระนารายณ์ น่าจะมีอายุ
อยู่ในราว พ.ศ. ๑๕๐๐ ซึ่งเป็นศิลปะขอมแบบเกาะแกร์



กู่สมบูรณ์


ที่ตั้ง  กู่สมบูรณ์ตั้งอยู่ที่บ้านหนองคู ตำบลเป๊าะ อำเภอบึงบูรพ์
จังหวัดศรีสะเกษ 
ระยะทาง เดินทางตามถนนสายศรีสะเกษ-ราษีไศล เลี้ยวซ้าย
แยกบ้านหัวช้างไปตามถนนราดยางสายบึงบูรพ์  ประมาณ
๙ กิโลเมตร เลยหนองคูไป ๑๐๐ เมตร เลี้ยวขวาเข้าไป ๑๕๐
เมตร ก็ถึงกู่สมบูรณ์
สภาพทั่วไป
     ปรางค์ เป็นปรางค์ ๓ องค์ เรียงกันตามแนวทิศเหนือ-ใต้
 อยู่ บนฐานศิลาแลงเดียวกัน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
ปรางค์ประธานองค์กลางก่อศิลาแลงหุ้มด้วยอิฐเป็น
เปลือกนอก มีมุขยื่น ไปทางตะวันออก สภาพปัจจุบันเหลือ
เพียงส่วนเรือนธาตุ ส่วนยอดและมณฑปด้านหน้าพังทลาย
ลงหมด พบชิ้นส่วนกลีบขนุนและยอดปรางค์สลักด้วย
ศิลาทรายที่มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือประตูทางเข้า
ด้านทิศตะวันออกมีทับหลังภาพสลักทับหลังแบ่งภาพเป็น
๒ แนว  สลักเป็นรูปบุคคลและสิงห์แบก ภายในปรางค์มี
แท่นฐานรูปเคารพศิลาทรายรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสตั้งอยู่ ๑ แท่น
     ปรางค์บริวารองค์เหนือและองค์ใต้ก่อด้วยศิลาแลงหันไป
ทางตะวันออก เช่นเดียวกัน  มีสภาพพังทลายลง คงเหลือ
เรือนธาตุเพียงครึ่งองค์เท่านั้น  ภายในองค์ปรางค์ด้านทิศใต้มีแท่นฐานประติมากรรมทำด้วยศิลาทรายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
๑ แท่น เจาะช่อง ๒ ช่อง สำหรับตั้งประติมากรรมรูปเคารพ และมี ร่องโสมสูตร และมีคูน้ำคันดินรูปเกือกม้าล้อมรอบปราสาท
เว้นทางเข้าด้านปัจจุบัน มีการปรับสภาพใหม่ นำดินมาถมเป็นทางเข้าด้านทิศใต้ ประวัติความเป็นมา  เป็นโบราณสถานที่ไม่พบ
จารึก แต่จากการพิจารณาลักษณะศิลปกรรมการก่อสร้าง เป็นศิลปะเขมรแบบบาปวน สร้างขึ้นราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗



ปราสาทเยอ
 



ที่ตั้ง  วัดปราสาทเยอเหนือ ตำบลปราสาทเยอ อำเภอไพรบึง จังหวัด
ศรีสะเกษ
ระยะทาง  เดินทางตามถนนสายศรีสะเกษ-ขุนหาญ ถึงสี่แยกปราสาทเยอ
หลักกิโลเมตรที่ ๓๔ เลี้ยวซ้ายเข้าบ้านปราสาทเยอ หรือหากเดินทาง
มาตามถนนสายยุทธศาสตร์ โชคชัย-เดชอุดม เมื่อมาถึงสี่แยกบ้าน
หัวช้าง  อำเภอไพรบึง เลี้ยวซ้ายไปอำเภอไพรบึงแล้วเดินทางต่อไป
อีก ๘ กิโลเมตร เลี้ยวขวาไปตามถนนคอนกรีตเข้าหมู่บ้าน ประมาณ
๑ กิโลเมตร ก็จะถึงวัดปราสาทเยอเหนือ
สภาพทั่วไป
     บ้านปราสาทเยอเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับลำห้วยสาขา
ที่แยกออกมาจากห้วยทา เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ประชากรพูดภาษา
กวยเยอ ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองภาษาหนึงในจังหวัดศรีสะเกษ
     สภาพของปราสาทเยอ มีผู้สูงอายุเล่าให้ฟังว่าในสมัยที่หลวงปู่มุม
เจ้าอาวาสวัดปราสาทเยอบวชเป็นพระและยังเดินธุดงค์ไปตามป่าเขา
หรือเมื่อประมาณ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา ขณะนั้นปราสาทยังมีสภาพเป็น
ปราสาทเดี่ยวที่ยังคงเห็นเป็นรูปปรางค์ปราสาทอยู่  ก่อด้วยอิฐ
ฝนผิวเรียบไม่สอปูนทั้งหลังตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงมีกรอบประตูศิลาทรายขนาดใหญ่มีทับหลังสวยงามมากและยังไม่พังลงมา ต่อมา
มีพวกค้าโบราณวัตถุมาแอบชโมยขุดค้นหาวัตถุโบราณ จึงทำให้ปราสาทอิฐพังถล่มลงมา ปัจจุบันมีสภาพชำรุดหักพังเป็นกองอิฐ
และทับหลังศิลาทราย  ลักษณะด้านศิลปะการก่อสร้าง ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงมี ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวด้านละประมาณ
๓ เมตร สูงประมาณ ๔.๕๐ เมตร เหลือเพียงกรอบประตูศิลาทราย  ทางเข้าด้านทิศตะวันออก ๒ ประตู เหนือกรอบประตูด้านในมี
ทับหลังศิลาทรายสลักเป็นรูปบุคคลนั่งเหนือเกียรติมุขซึ่งกำลังคาย ท่อนพวงมาลัยออกมาทั้งสองข้างมีพวงอุบะและใบไม้ม้วน
ทับหลังอีกชิ้นหนึ่ง ตั้งอยู่หน้าวงกบประตูสลักเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัน สันนิษฐานว่าเป็นประตูมุขก่อยื่นออกมาจาก
องค์ปรางค์
อายุของปราสาท      เป็นศิลปะขอมแบบบาปวน สร้างราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖


พระธาตุจังเกา

ที่ตั้ง   พระธาตุจังเกา หรือปราสาทจังเกา ตั้งอยู่ที่บ้านหนองปิงปอง
ตำบลโนนปูน  อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ
ระยะทาง   
เดินทางตามถนนราดยางจากศรีสะเกษถึงบ้านปราสาทเยอ
๓๔ กิโลเมตร  เลี้ยวขวาไปตามถนนราดยาง ถึงบ้านหนองอารี
ประมาณ ๘ กิโลเมตร ตามถนนลูกรัง ๕ กิโลเมตร ถึงบ้านหนองปิงปอง
หรือจะเข้าทางบ้านดวนใหญ่ อำเภอวังหินไปถึงบ้านพอก อำเภอขุขันธ์
เลี้ยวซ้ายไปประมาณ ๔ กิโลเมตร
สภาพทั่วไป 
บริเวณตั้งพระธาตุจังเกา จะเป็นเนินสูงและป่าไม้
ต้นน้ำของห้วยดวน ซึ่งเป็นลำน้ำ สาขาของห้วยแฮด ชาวบ้านละแวกนั้น
ส่วนใหญ่จะเป็นชาวกวย เรียกหมู่บ้านนี้ว่า โท๊ะปะเก็าะเป็กปอง(บ้านป่า
ขุดมัน)  ซึ่งเป็นพื้นที่ศูนย์กลางชนแดนสี่อำเภอ วังหิน พยุห์ ไพรบึง และ
ขุขันธ์ ใกล้ตัวปราสาทจะเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ มีโบราณสถาน ๒ หลัง
พระธาตุจะสร้างอยู่ด้านหลัง ด้านหน้าของเจดีย์ธาตุคนรุ่นหลังจะนำเอา
อิฐที่พังทลายลงมาจากพระธาตุมาสร้างต่อเติมเป็นปราสาทหรือวิหาร
สร้างด้วยอิฐดินเผาชนิดก้อนใหญ่ทั้งหลังแบบไม่สอปูน  ผู้สูงอายุใน
ละแวกนั้นให้ข้อมูลว่าก่อนจะปรักหักพังลง เรือนธาตุจะมีลักษณะเป็น
พระปรางค์เดี่ยวมีรูปร่างลักษณะสี่เหลี่ยม สูงประมาณ ๒๐ เมตร 
มีส่วนยอดทรงกลมแหลม ต่อมามีการขโมยขุดของเก่า จึงหัก พังทะลาย ลงมา ๒ ครั้ง กลายเป็นกองอิฐคล้ายกับปราสาทเยอสันนิษฐาน
ว่าอาจสร้างขึ้นเป็นที่ บรรจุอัฐิของผู้ปกครองในสมัยโบราณ หรือบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
อายุของปราสาท พระธาตุจังเกา 
มีลักษณะศิลปะการก่อสร้างที่ก่อสร้างด้วยอิฐทั้งองค์ ส่วนวิหารอาจสร้างด้วยโครงไม้  น่าจะเป็น
โบราณสถาานในพระพุทธศาสนา อาจสร้างรุ่นเดียวกับ พระธาตุโนนแกด

 


ปราสาทปรางค์กู่


ที่ตั้ง 
 
บ้านกู่ ตำบลกู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ 
ระยะทาง
 เดินทางตามถนนราดยางออกจากปรางค์กู่-สำโรงทาบ ระยะทาง
๕ กิโลเมตร
สภาพทั่วไป  
     
ที่ตั้งของปราสาทปรางค์กู่ ตั้งอยู่ที่เนินสูงยอดสุดห้วยวะ ซึ่งไหลผ่าน
บ้านตูม ผ่านบ้านกล้วยกว้าง  อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ ไหลลงสู่
ห้วยสำราญ ที่ตำบลทุ่งไชย
     ปรางค์กู่ประกอบด้วยปรางค์ ๓ หลัง ก่อด้วยอิฐและศิลาแลง ตั้งอยู่บนฐาน
ศิลาแลงเดียวกันในแนวทิศเหนือ-ใต้  หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ปรางค์
องค์กลางและองค์ที่อยู่ทางทิศใต้ ก่อด้วยอิฐขัดเรียบ มีทับหลังและเสาประดับ
กรอบประตูทำจากศิลาทราย แต่ปัจจุบันไม่ปรากฏทับหลัง ส่วนเสากรอบ
ประตูก่อด้วยอิฐ ติดผนังมีประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออกเพียงด้านเดียว
ส่วนด้านอื่นเป็นประตูหลอก
     อิฐทั้งสององค์มีการสลักลวดลายตกแต่งลงบนเนื้ออิฐ เช่น ซุ้มหน้าบันสลัก
เป็นซุ้มโค้งหยักมียอดแหลมช่วงปลาย  สลักเป็นรูปเศียรนาค ปรางค์ที่อยู่
ทางทิศเหนือก่อด้วยศิลาแลงจากฐานถึงซุ้มหน้าบัน แล้วก่อด้วยอิฐจนถึง
ส่วนยอดมีประตูทางเข้าทิศตะวันออกเช่นเดียวกันส่วนบารายหรือสระน้ำ
ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้าทางทิศตะวันออกของปรางค์กู่
อายุของปราสาท   
ปราสาทปรางค์กู่  ศิลปะขอมแบบนครวัด สร้างราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗




ปราสาททามจาน(สมอ)



ที่ตั้ง 
 ปราสาทบ้านทามจานหรือปราสาทบ้านสมอ ตั้งอยู่ที่บ้านทามจาน ตำบลสมอ
อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ

ระยะทาง
   เดินทางตามถนนราดยางสายศรีสะเกษปรางค์กู่ หลังจากข้ามสะพาน
ห้วยสำราญ  ที่บ้านภูมิศาลา อำเภอขุขันธ์ แล้วเดินทางต่อไปจนถึงทางแยกบ้าน
กระต่ายด่อน เลี้ยวขวาอีก ๓  กิโลเมตรแล้วเลี้ยวขวาเข้าไปอีกประมาณ ๕๐๐
เมตรก็จะถึงที่ตั้งปราสาททามจาน  ซึ่งบ้านทามจาน อยู่ฝั่งตะวันตกของ
ห้วยสำราญ

สภาพทั่วไป
     สภาพของปราสาททามจาน ปรางค์ปราสาทเป็นปรางค์เดียวก่อด้วยศิลาแลง
หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อเก็จ  มีมุขยื่นออกไปเล็กน้อย
ทางด้านตะวันออก ซึ่งจะเป็นด้านหน้าและเป็นประตูทางเข้าไปในตัวปราสาท
ส่วนอีกสามด้านทำเป็นประตูหลอก กรอบประตูและทับหลังทำด้วยหินทรายสลัก
ลวดลาย ทับหลังด้านหน้าหายไป ทับหลังบนกรอบประตูทางทิศใต้สลักแล้วเสร็จ
เพียงครึ่งเดียว เป็นรูปหน้ากาลกำลังคายท่อนพวงมาลัยโดยใช้ มือยึดจับ
พวงมาลัย ซึ่งสลักเป็นลายใบไม้ม้วน เหนือหน้ามีรูปบุคคลนั่งขัดสมาธิลักษณะ
เป็นพระพุทธรูปมีบุคคลสองคนนั่งพนมมืออยู่ พระพุทธรูปดังกล่าวอาจจะ
เป็นพระพุทธไภสัชยคุรุพระพุทธเจ้าผู้รักษาโรค เพราะรูปแบบ และแผนผัง
ของปราสาท สันนิษฐานได้ว่าคงจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า "อโรคยาศาล"
หรือโรงพยาบาลซึ่งได้พบจารึก กล่าวถึงการก่อสร้างโรงพยาบาลหลายหลัก
และในจารึกกล่าวถึงพระพุทธไภสัชยคุรุ กำแพงและโคปุระ มีร่องรอย
ฐานกำแพงก่อด้วยศิลาแลงล้อมรอบสี่ด้าน ด้านตะวันออกมีโคปุระก่อด้วยศิลาแลง เช่นกัน มีสระน้ำจำนวน ๒ สระ ตั้งอยู่
ทางตะวันออกเฉียงเหนือห่างจากโคปุระ ประมาณ ๑๐ เมตร เป็นสระขนาดเล็ก ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า อีกสระมีขนาดใหญ่
ตั้งอยู่ด้านตะวันออกห่างออกไปประมาณ ๕๐ เมตร

อายุของปราสาท    สร้างราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ศิลปะขอมแบบบายน





ปราสาทบ้านปราสาท
ที่ตั้ง  วัดบ้านปราสาท ตำบลปราสาท อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ
ระยะทาง เดินทางไปได้สองทาง ทางหนึ่งจากอำเภอห้วยทับทันไปทาง
ทิศเหนือ ไปยังบ้านปราสาท ระยะทางประมาณ ๖ กิโลเมตร
สภาพทั่วไป
     ปรางค์ก่อด้วยอิฐสามหลังเรียงตามแนวเหนือ-ใต้ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลง
เดียวกัน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ปัจจุบันมีลักษณะผิดแปลกไปจาก
ปรางค์ขอม เนื่องจากมีการดัดแปลงให้เป็นธาตุเจดีย์ในสมัยหลัง ปรางค์องค์
กลางยังคงสภาพสถาปัตยกรรมขอมเฉพาะส่วนที่เป็นประตูทางเข้าคือ มี
ทับหลังหินทรายตั้งอยู่บนกรอบประตู ทับหลัง ดังกล่าวจำหลักเป็นภาพ
หน้ากาล หรือเกียรติมุข ภาพเหนือเกียรติมุขภาพลบเลือน ด้านข้างทั้งสอง
ของทับหลังเป็นภาพบุคคลยืนแยกเข่าอยู่ภายในซุ้ม
     ปรางค์ด้านข้างอีกสององค์ ถูกดัดแปลงโดยการก่ออิฐปิดประตูทึบทั้ง
สี่ด้าน แล้วทำพระพุทธรูปปูนปั้นไว้ด้านหน้า ส่วนยอดถูกดัดแปลงเช่น
เดียวกัน  คงทิ้งชิ้นส่วนทับหลังศิลาทรายตกกระจัดกระจาย ชิ้นส่วน
บางชิ้นมีภาพจำหลัก ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นภาพเล่าเรื่องการกวนเกษียรสมุทร
ส่วนกำแพงก่อด้วยศิลาแลงล้อมทั้งสี่ด้าน มีโคปุระอยู่ทางทิศใต้ และทิศ
ตะวันออกเท่านั้น

อายุปราสาท  สร้างราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ศิลปะแบบบาปวน สร้างต่อเติมในสมัยอยุธยาตอนปลายตามลักษณะที่เห็นในปัจจุบัน
ด้วยอิทธิพลวัฒนธรรมล้านช้างสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่เก็บ กระดูกของผู้ครองเมือง ชาวบ้าน เรียกว่า "ธาตุ" บ้านที่ตั้ง
ปราสาทชาวบ้านเรียกว่า บ้านโนนธาตุ  อพยพมา ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๒



ธาตุบ้านเมืองจันทร์


ที่ตั้ง    บ้านเมืองจันทร์ ตำบลเมืองจันทร์ อำเภอเมืองจันทร์ จังหวัดศรีสะเกษ
ระยะทาง    พระธาตุเมืองจันทร์อยู่ห่างจากอำเภอเมืองจันทร์ ระยะทาง ๘ กิโลเมตร
สภาพทั่วไป
     พระธาตุบ้านเมืองจันทร์ตั้งอยู่ในวัดเมืองจันทร์ ซึ่งบ้านเมืองจันทร์เป็นชุมชน
โบราณ ที่มีลักษณะเนินดินรูปวงกลม มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ๑ ชั้น ประกอบด้วย
โบราณสถาน ดังนี้
๑. พระอุโบสถเก่า (สิม) อยู่ทางมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของโบสถ์หลังใหม่
ลักษณะเป็นโบสถ์หลังเล็ก ก่อด้วยอิฐฉาบปูนขาวมีฐานสูง และบันไดทางขึ้น ส่วนบน
ชำรุดหักพัง ประตูและบันไดทางขึ้น อยู่ทางทิศตะวันตก ภายในมีใบเสมาหินทราย
ตั้งอยู่ทั้ง ๘ ทิศ
๒. ธาตุบ้านเมืองจันทร์ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของโบสถ์หลังใหม่ ผังเป็นรูป
สี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อเก็จ ลักษณะรูปทรงคล้ายธาตุลาว อาจดัดแปลงมาจากปรางค์ขอม
ก่ออิฐสอดินเหนียวฉาบปูนซึ่งไม่ใช่ลักษณะของการก่ออิฐแบบเขมร ตัวเรือนธาตุทึบ
มีซุ้มจรนำทั้ง ๔ ด้านก่อปิดทึบ บัวหัวเสาประตูซุ้มจรนำสลักเป็นลายบัวคว่ำบัวหงาย
ส่วนหลังคาก่อด้วยอิฐทึบขึ้นไปเป็นชั้นๆ  คล้ายส่วนเรือนธาตุ แต่ลดหลั่นขึ้นไปจน
ถึงยอด  ยอดเป็นยอดแหลมคล้ายเจดีย์โบกปูน
อายุของปราสาท   ไม่สามารถกำหนดอายุได้อย่างชัดเจน







กู่แก้วสี่ทิศบ้านหว้าน
 

ที่ตั้ง     ตั้งอยู่บริเวณที่สาธารณะประโยชน์ป่าช้าดงใหญ่  ทางด้านทิศ
ตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่บ้านหว้าน  ตำบลหว้านคำ    อำเภอราษีไศล 
จังหวัดศรีสะเกษ
ระยะทาง    สามารถเดินทางจากตัวอำเภอราษีไศล  ไปตามเส้นทาง
ราษีไศล-อำเภอมหาชนะชัย ประมาณ ๕ กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวา
เข้าไปอีก ๓ กิโลเมตร ก็จะถึงแหล่งโบราณคดี บ้านหว้าน โบราณสถาน
ที่ขุดพบอยู่ในที่สาธารณประโยชน์ ป่าช้าดงใหญ่ ห่างจากหมู่บ้านไปทาง
ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้  ประมาณ ๕๐๐ เมตร
ประวัติความเป็นมา  จากโบราณวัตถุที่พบสันนิษฐานว่าแหล่งโบราณคดี
แห่งนี้คงเป็นชุมชนในสมัยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมทวารวดี ระหว่าง
พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖มีการนับถือ ศาสนาพุทธ  โดยประดิษฐ์ใบเสมาขึ้น
 เพื่อใช้ประกอบสังฆกรรม มีการ สร้างสิ่งก่อสร้างที่น่าจะเป็นศาสนสถาน
และมีการสร้างคูน้ำคันดิน เพื่อใช้กักเก็บน้ำในการอุปโภคบริโภคของชุมชน
สภาพทั่วไป    มีลักษณะเป็นเนินดินรูปร่างค่อนข้างกลม  มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ ๒ ชั้น โดยก่อคันดินล้อมรอบคูน้ำด้านนอก
ลักษณะเช่นนี้เชื่อว่าคงสร้างคูน้ำขึ้นโดยมีจุดประสงค์หลัก ในการกักเก็บน้ำ ตัวแหล่งโบราณคดีมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
ประมาณ ๖๐ เมตร
สภาพปัจจุบัน
     คูน้ำและคันดินบางส่วนเปลี่ยนสภาพกลายเป็นพื้นที่นา ปัจจุบันเป็นที่ตั้งวัดเมืองคง ซึ่งเป็นวัดฝ่ายมหานิกาย รวมทั้ง
รูปปั้นของพญากตะศิลา ซึ่งเป็นเจ้าเมืองผู้นำชาวเยอ มีการบวงสรวงกันทุกวันเพ็ญเดือนสาม
หลักฐานที่พบ
     ซากโบราณสถานซึ่งปัจจุบันอยู่ในสภาพพังทลาย เนื่องจากการถูกลักลอบขุดหาวัตถุโบราณ เหลือสภาพเพียงเศษอิฐ
กระจายอยู่ทั่วไป กลุ่มใบเสมาหินทรายบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตัวแหล่ง เศษภาชนะดินเผาทั้งประเภทเนื้อหยาบ
และเนื้อแกร่ง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น