วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

โบราณวัตถุในจังหวัดศรีสะเกษ

โบราณวัตถุในจังหวัดศรีสะเกษ

   

หลวงพ่อโตวัดมหาพุทธาราม
     หลวงพ่อโต วัดมหาพุทธาราม เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองที่ชาวจังหวัดศรีสะเกษ
เลื่อมใสศรัทธามาก ค้นพบโดยจารย์ศรีธรรมา ชาวนคร จำปาศักดิ์ ซึ่งเป็นสามีของนางวันนา
พี่สาวของพระยารัตนาวงศา (ท้าวอุ่น พบที่ป่าแดง ไม่ทราบว่าสร้างขึ้นในสมัยใด เดิมเป็น
ลักษณะ ของตุ๊กตาหิน มีต้นไม้และ จอมปลวกคลุมได้บูรณปฏิสังขรณ์สร้างเป็นวัดป่าแดง
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘ ปัจจุบันคือวัดมหาพุทธาราม (วัดพระโต) อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ
หลวงพ่อโต เป็น พระพุทธรูปศิลปะล้านช้าง ประทับนั่งปางมารวิชัย สูง ๖.๘๐ เมตร
หน้าตักกว้าง ๓.๕๐ เมตร นับเป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่















  
ตู้พระธรรม วัดเจ๊กโพธิ์พฤกษ์
      ตู้พระธรรมของวัดเจ๊กโพธิ์พฤกษ์ เป็นงานศิลปะฝีมือที่สวยงามมาก ผู้พระธรรมลายรดน้ำมีขนาด
๑.๕๘ เมตร กว้าง ๐.๖๔ เมตร ยาว ๐.๙๓ เมตร บานประตูเขียนลายกนกเปลว ด้านข้างทั้งสองเขียน
ลวดลายพันธุ์ไม้ ลวดลายที่เขียนขึ้นมีภาพเล่าเรื่องประกอบทุกด้าน ลักษณะลวดลาย ของตู้พระธรรมนี้
น่าจะได้รับอิทธิพลมาจาก ภาคกลางอยู่มาก ถึงแม้จะมีสอดแทรกลายพื้นเมืองอยู่บ้านก็ตาม  ลายกรอบ
บานประตูดอกไม้  คล้ายดอก พุดตานและขาตู้ ซึ่งมีลักษณะแบบจีนนิยมทำกันอย่างแพร่หลาย
ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงสันนิษฐานได้ว่า
ตู้พระธรรมนี้มีอายุได้ ๑๐๐ ปี มาแล้วหรือ ในราวต้นกรุงรัตนโกสินทร์
     ตู้พระธรรมนี้อยู่ในวัดเจ๊กโพธิ์ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งตั้งอยู่ริมถนนศรีสะเกษ-ขุขันธ์ ก่อนเข้าสู่
อำเภอเมืองขุขันธ์










    
ตู้พระธรรมวัดสำโรงใหญ่
     ตู้พระธรรมวัดสำโรงใหญ่ เป็นศิลปะแบบพื้นเมืองอีสาน เก็บรักษาอยู่ในวัดสำโรงใหญ่
อำเภออุทุมพรพิสัย ลักษณะของตู้พระธรรม สลักลวดลายอย่างง่าย ๆ เฉพาะที่ขอบแล้ว
ปิดทองทึบ ส่วนอีกตู้หนึ่งมีภาพเขียนแบบจิตรกรรมฝาผนังไทยโบราณ เป็นลวดลายพันธุ์
พฤกษา และภาพเกี่ยวเนื่องกับเรื่องรามเกียรติ์ เข้าใจว่าตู้พระธรรมวัดสำโรงใหญ่ มีอายุ
ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์หรือเกือบ ๒๐๐ ปี มาแล้ว














ฐานศิวลึงค์
     ฐานศิวลึงค์โบราณวัตถุตามลัทธิความเชื่อของศาสนฮินดู
ประวัติความเป็นมา
     
   สร้างราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ตามลัทธิความเชื่อของศาสนาฮินดู ขุดพบที่บัลลังก์เทวสถานเก่าห่างจากวัดเจ๊กประมาณ ๗๐๐เมตร
แท่นศิวลึงค์ทำมาจากหินทราย ซึ่งเป็นชั้นหินใต้สุดที่ได้ขุดพบขึ้นมา มีลักษณะอ่อนนิ่ม เมื่อนำมาประดิษฐ์หรือแกะสลักตามลักษณะของ
รูปร่างแล้ว ทิ้งไว้พักหนึ่งหินก็จะมีลักษณะแข็งตัว ลักษณะพิเศษ หินทรายเป็นหินที่ละเอียด และแข็งแกร่งนำมาก่อสร้างโบราณสถาน
ของขอมสมัยโบราณนิยมนำหินทรายมาแกะสลักทับหลังรูปต่าง ๆ เช่น ศิลาทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ทับหลัง พระอิศวรทรงโตศิลา
ที่ทับหลัง พระอินทร์ทรงช้าง เป็นต้น เพราะเนื้อหินมีผิวที่ละเอียดสวยงาม

ลักษณะทั่วไป
      เป็นฐานสี่เหลี่ยมสูง ๔ ชั้น ย่อชั้นบนสุดจะมีขนาดเท่ากับฐานชั้นล่างมีรูตรงกลางซึ่งเรียกว่า เป็นตำแหน่งวางเดือย






พระแผงไม้แกะสลัก

ลักษณะทั่วไป

      แผงพระพิมพ์ชนิดไม้แกะสลัก เป็นศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษ
ที่ ๒๔ มีความสูง ๑๒๑.๕ เซนติเมตร กว้าง ๓๔.๕ เซนติเมตร มีพระในแผง
พระพิมพ์ ๔๘ องค์ ลักษณะของพระพุทธรูปที่ปรากฏในแผงพระพิมพ์ มีความ
แตกต่างกัน โดยมีข้อสันนิษฐานเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ซึ่งตั้งอยู่ในกุฎิของ
วัดบ้านเจ็ก อยู่ห่างจากอำเภอขุขันธ์ประมาณ ๕๐๐ เมตร ตามเส้นทางถนนสาย
ขุขันธ์-ศรีสะเกษ












ลวงพ่อโตวัดเขียน
สถานที่ค้นพบ
บ้านพราน หมู่ ๗ ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบัน
ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถ วัดเขียนบูรพาราม บ้านพราน หมู่ ๗ ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์
จังหวัดศรีสะเกษ

สภาพ/ลักษณะ เป็นพระพุทธรูปปั้นปิดทอง ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง ๓.๕๐ เมตร
สูง ๖.๘๐ เมตร มีลักษณะศิลปะที่ผสมผสานกันระหว่าง ศิลปะล้านช้าง และศิลปะอยุทธยา
ตอนปลาย หลวงพ่อโตเป็นพระพุทธรูป ที่มีลักษณะงดงาม ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมานาน
กว่า ๒๐๐ ปี

ประวัติความเป็นมา
     เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๓ พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (เชียงขัน) เจ้าเมืองคนที่ ๒ พร้อมด้วย
กรมเมือง ได้นำราษฎรไปถางป่า บริเวณบ้านพรานบ้านตะแยก เพื่อเตรียมการ สร้างเมือง
ใหม่ ระหว่างที่ ทำการถางป่า บริเวณที่ตั้งวัดเขียนในปัจจุบัน ได้พบ ก้อนหินสีแดงโผล่ขึ้น
เหนือจอมปลวก มีลักษณะคล้าย พระพุทธรูป จึงได้บัญชาการให้ราษฎรตกแต่งบริเวณนั้น
เสริมฐานแล้วสร้างเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ สวมทับจอมปลวกนั้นเป็นพระพุทธรูป
ขนาดใหญ่  พระพุทธรูปปางมารวิชัย มีพุทธลักษณะที่งดงาม สร้างไว้กลางแจ้ง สร้างวัด
ขึ้น ในบริเวณนั้นแล้วนิมนต์พระมาอยู่ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวอยู่ไกลกันดารน้ำ ไม่มี
ราษฎรอาศัยอยู่ ทำให้วัดร้างไป ถูกปล่อยให้รกร้างมีสภาพป่าดงรกทึบมากถึงขนาดมีเสือ
ท้องแก่  มาคลอดลูกบนหน้าตักท่าน ต่อมา พระหลักคำอุด พระหลักคำประเมืองขุขันธ์
ได้มาพบ แล้วเกิดศรัทธาจึงได้ชักชวนชาวบ้านร่วมกันบูรณะวัดร้างนั้นขึ้นมา และสร้างอุโบสถคร่อมองค์พระพุทธรูปต่อมามีโจร
ใจบาปไปขโมยแกะเอาแก้วพระเนตรขององค์พระพุทธรูป ทั้งสองข้างไป ด้วยอำนาจพระบารมี อันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ พระพุทธรูป
ทำให้ชาวบ้านละแวกนั้น ได้ยินเสียงร้องก้องไปทั้งป่า ครั้นรุ่งเช้า ชาวบ้านได้เข้าไปดู จึงทราบว่าพระเนตรของพระองค์  พระพุทธรูป
ทั้งสองข้างถูกขโมยไปชาวบ้านจึงเข้าใจว่า ท่านได้บันดาลให้เกิดเสียง เพื่อบอกกล่าวให้ชาวบ้านทราบ พ.ศ. ๒๓๒๕ พระยาขุขันธ์ภักดี
ศรีนครลำดวน (บุญจันทร์) เจ้าเมืองขุขันธ์คนที่ ๓ จัดบูรณะซ่อมแซมครั้งยิ่งใหญ่ ด้วยการก่ออิฐหุ้มองค์เดิมสร้างฐาน ให้สูงขึ้น
ถือเป็นพระพุทธรูป ที่มีลักษณะงดงามและมีขนาด ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น จึงเรียกว่า “หลวงพ่อโต” มาจนถึงปัจจุบัน พ.ศ. ๒๔๗๑
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พระสมุห์เนตร ด้ทำการบูรณะซ่อมแซมอีกครั้งหนึ่ง โดยได้จ้างช่าง
ญวณ ทำการก่ออิฐถือปูนหุ้มพระบาทรูปองค์เดิมให้ใหญ่ขึ้นอีก จนมีขนาดเท่าปัจจุบัน คือ หน้าตักกว้าง ๓.๕๐ เมตร สูงจากฐาน
ถึงยอดพระเมาลี ๖.๘๐ เมตร รื้อโรงหลังคาเก่าออก ทำการสร้างใหม่ก่ออิฐถือปูนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง ๑๒.๗๖ เมตร
ยาว ๒๐.๐๖ เมตร จำนวน ๕ ห้อง









หลวงพ่อโต
สถานที่ค้นพบ
บ้านจอม หมู่ที่ ๔ ตำบลบึงบอน อำเภอยางชุมน้อย
จังหวัดศรีสะเกษ

สภาพ/ลักษณะ เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ที่ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก และเป็นพระพุทธรูป ที่ศักดิ์สิทธิ์และ
เก่าแก่มาก คาดว่ามีอายุประมาณ ๕๐๐ ปี

ประวัติความเป็นมา
     ชาวบ้านได้มาปลูกสร้างบ้านในบริเวณที่สูงยังไม่พบหลวงพ่อโต
พออยู่ต่อมาก็ถางป่า ทำไร่ทำสวนก็ไปพบ พระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีป่า
รกทึบปกคลุมไว้ ประชาชนจึงช่วยกันถางป่าบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้น และ
เรียกกันว่า หลวงพ่อโต และสร้างวัดขึ้น ในบริเวณนี้ หลวงพ่อโตขนาด
หน้าตึกกว้าง ๑.๗๕ เมตร สูง ๒ เมตร ปางมารวิชัย ผินพระพักตร์
ไปทางทิศตะวันตก จากประวัติที่เก่าแก่โบราณมานาน ของหลวงพ่อโต
ชาวบ้านในอำเภอ และอำเภอใกล้เคียงในแถบนั้น มีความเลื่อมใสศรัทธา
เป็นอย่างมาก ประชาชนต่างก็เดินทางมานมัสการ ตลอดมา ปัจจุบันนี้ยังมีกิจกรรมวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาโดยไม่ขาด คือ ใน
วันเพ็ญเดือน ๖ หรือวันวิสาขบูชา จะมารวมกันที่จุดเดียวทุกหมูบ้าน โดยไม่ได้นัดหมาย โดยจะเดินทางมานมัสการหลวงพ่อโต
พร้อมกันทุกหมูบ้านอย่างพร้อมเพรียง และมีการแห่บุญข้าวพันก้อน แห่เทียนถวายเป็นพุทธบูชา ในวันวิสาขบูชา

ประโยชน์และคุณค่าทางวัฒนธรรม  มีกิจกรรมวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาโดยไม่ขาดคือ ประชาชนชาวพุทธ ในท้องถิ่น พอถึง
วันเพ็ญเดือน ๖  หรือวันวิชาขบูชา จะมารวมกันที่จุดเดียวทุกหมู่บ้าน โดยไม่ได้นัดหมาย โดยเดินทางมานมัสการหลวงพ่อโต
พร้อมกันทุกหมู่บ้านอย่างพร้อมเพรียง และมีการแห่บุญข้าวพันก้อน  แห่เทียนถวายเป็นพุทธบูชา  ในวันวิสาขบูชา









พระพุทธรูปปางนาคปรก
สถานที่ค้นพบ
บ้านกำแพง หมู่ที่ ๑ ตำบลสระกำแพงใหญ่ อำเภออุทุมพรพิสัย
จังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่บ้านกำแพง หมู่ที่ ๑ ตำบลสระกำแพงใหญ่
อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
สภาพ/ลักษณะ เป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่สร้างด้วยหินเขียว มีขนาดหน้าตักกว้าง
๑๓ นิ้ว จากฐานถึงพระเกศ ๑๕ นิ้ว จากฐานถึงหัวนาค ๒๙ นิ้ว
ประวัติความเป็นมา 
      จากการสัมภาษณ์หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท เจ้าอาวาส วัดสระกำแพงใหญ่
ปัจจุบันอายุ ๙๔ ปี ได้เล่าว่า เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๔๙๑ เหตุเริ่มแรกที่ได้
พบหลวงพ่อนาคปรกองค์นี้ เนื่องด้วยในคืนวันหนึ่ง ได้ตั้งใจ สวดมนต์
เจริญภาวนา ในระหว่างท้ายเดือน ๑๑ ต้องอธิฐานรำลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สิงสถิตอยู่ภายในบริเวณปราสาทหินกำแพงนั้น ครั้นเมื่อ ข้าพเจ้าได้
พักผ่อน นอนหลับไปด้วย ตั้งสติอันมั่นคงแล้วก็เกิดนิมิตขึ้นที่ใจ ปรากฏ
เห็นหลวงพ่อนาคปรก ประดิษฐาน อยู่ภายในหน้าเจดีย์ปราสาทหลังกลางเปล่งปลั่งรัศมีเป็นแสงทองคำธรรมชาติส่องแสงรุ่งโรจน์
โชตนาการทั่วไป ตามบริเวณกำแพงข้าพเจ้าก็ได้สติขึ้นมา แล้วตั้งสติพิจารณาด้วยปัญญาว่า อ้อ อันนี้คงจะเป็นบุญลาภอันประเสริฐ
ของเราแล้ว เมื่อแสงอรุณรุ่งขึ้นเราก็เตรียมเครื่องมือ พร้อมด้วย สามเณรน้อยองค์หนึ่งให้ถือจอบเล่มหนึ่ง นึกดีใจว่าคงจะเป็น
พระทองคำธรรมชาติแน่นอน ซึ่งเราก็ไม่ได้พิจารณาระมัดระวังอะไร แล้วรีบขุด ลงไปเลยถูกที่จุดมุ่งหมายนิมิตนั้น ใช้กำลังขุด
ลงไปอย่างแรกแล้วขุดไปถูกตัวนาคก่อนเสียงดังลั่นผิดปกติ เมื่อข้าพเจ้าเอามือ จี้ลงไปดู  ก็ปรากฏ เห็นสะเก็ดลวดลายเหมือนตัวงู
ไม่นึกว่าจะเป็น พระพุทธรูปนาคปรก เพราะเกิดความสงสัยเสียจึงได้พยามยามขุดลงไปอีก จึงได้พบองค์หลวงพ่อนาคปรก
กลายเป็นพระศิลาทรายอย่างละเอียดลออ ซึ่งเป็นองค์พระนาคปรกวัตถุโบราณของเก่าแก่ คงเป็นสมัยครั้งเมื่อ พระเจ้าภววรมัน
รัชกาลที่ ๒-๓ ของพวกพระเจ้าอีสานวรมันในราวปี พ.ศ. ๑๑๕๓ หรือในระหว่างสมัยพระเจ้าวรมันที่ พ.ศ. ๑๓๔๕ (หรือสมัยขอม)
จึงได้พร้อมกันยกขึ้นมาจากมูลดินแล้วเอามาตั้งไว้ที่บริเวณภายในกำแพง ใคร่ ๆ ก็ไม่สนใจฝักใฝ่เท่าไรนัก เป็นแต่ข่าวลือกระตือ
รือร้นไป  บุคคลทั่วไปทุกทิศได้หลั่งไหลกันมาชมมาดู ทิ้งตากแดดตากฝนไว้ได้ ๓ เดือน ครั้นต่อมาวันหนึ่งมีเด็กนักเรียนคนหนึ่ง
เอาชอล์กไปขีดเขียน ที่ด้านหลัง หลวงพ่อนาคปรกนั้น ส่วนเด็กนั้นเมื่อเวลากลับไปถึงบ้าน กลางคืนก็เกิดอุบัติเหตุเสียสติ  เป็น
บ้าๆ พลั้ง ๆ เผลอ ๆ ละเมอไป มีวิปริตประการต่าง ๆ ร้องห่มร้องไห้ จึงพากันไปดูหมอหมอดูบอกว่าเด็ก เอาชอล์กไปขีดเขียน
พระนาคปรก เพราะพระเดชาภาพหลวงพ่อ นาคปรกได้เข้าไปสิงกาย สิงจาของเด็กให้แสดงอิทธิฤทธิ์ให้ประชาชนได้เคารพ
สักการบูชา เมื่อบิดามารดาได้เอาดอกไม้ธูปเทียน มาขอขมาโทษ เด็กนั้นก็หายวันหายคืน ด้วยเหตุนั้นชาวพุทธทั้งหลาย ได้เห็น
พระเดชพระคุณอภินิหารอิทธิฤทธิ์  เช่นนี้ ผลที่สุด ท่านนายอำเภอพวง ศรีบุญลือ จึงได้จัดการสั่งให้กำนันผู้ใหญ่บ้านทายก
ทายิกา ให้หามเอาหลวงพ่อนาคปรกไปไว้บนศาลาการเปรียญ ความจริงเริ่มแรก ความเป็นมาของหลวงพ่อนาคปรกองค์นี้มีท่าน
นายอำเภอสิน ได้น้อมนำมาซึ่งดอกไม้ธูปเทียนสักการะบูชาแล้ว ตั้งใจอธิษฐานได้บนบานศาลกล่าวว่า ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงให้ข้าพเจ้า
สอบได้ตำแหน่งนายอำเภอในครั้งนี้ ผลที่สุดท่านก็สอบตำแหน่งนายอำเภอได้ ท่านนายอำเภอพวง ศรีบุญลือ พร้อมด้วยคณะสงฆ์
์และข้าราชการครู พ่อค้า ประชาชน จึงได้เริ่ม จัดทำบุญกุศล มีงานเทศกาลประจำปี ปิดทองเพื่อฉลองพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
นาคปรกตลอดทุกปี ปัจจุบันหลวงปู่เครื่องและประชาชนมีความศรัทธาหวงแหน เกรงจะถูกโจรกรรม จึงได้จัดสร้างหอพระสูง
สง่างามภายในบริเวณวัดสระกำแพงใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อนาคปรก พร้อมกำกับดูแลอย่างดี





ประติมากรรมสำริด
สถานที่ค้นพบ
ปราสาทสระกำแพงใหญ่ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ  กรมศิลปากร
ได้ค้นพบประติมากรรมสำริดที่ปราสาทสระกำแพงใหญ่ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
ในขณะทำการขุดแต่ง ปราสาทแห่งนี้ เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ โดยขุดพบภายในใกล้กับ
ระเบียงทางด้านทิศตะวันออก เฉียงเหนือ ลึกลงไปเพียงราว ๑๐ เซนติเมตร ปรากฏว่ายังคงอยู่ดี
เป็นรูปเดียว สูงเฉพาะองค์ ๑๔๐ เซนติเมตร และวัดความสูงทั้งฐาน ๑๘๐ เซนติเมตร โดยมีเดือย
ยาว ๓๔ เซนติเมตร ทรงผมด้านบนเศียร ได้หักหายไป รวมทั้งส่วนล่างของแขนด้านขวา และ
ส่วนหนึ่งแต่งกาย และเทคนิคการฝังโลหะอื่นลงในเนื้อสำริด ประติมากรรมสำริดชิ้นนี้คงหล่อขึ้น
ในศิลปขอมแบบบาปวนตอนปลาย ราวระหว่าง พ.ศ. ๑๖๐๐-๑๖๕๐ โดยไม่ต้องสงสัย
     ศาสตราจารย์ ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ให้ความเห็นหลังจากการพิจารณาประติมากรรมสำริด ซึ่ง
เพิ่งขุดค้นพบเมื่อเร็ว ๆ นี้จากปราสาทสระกำแพงใหญ่ว่า
จากลักษณะ โดยทั่วไปของประติมากรรม
ที่ปราสาทสระกำแพงใหญ่ ทำให้ข้าพเจ้าที่จะกล่าวว่ารูปนี้เป็นรูปของนันทิเกศวรหรือนันทีศวร
ผู้เป็นหัวหน้าของคณะ (บรรดาผู้ที่มีตัวเป็นมนุษย์  และเป็นหัวเป็นสัตว์) พระอิศวรได้ทรงนึกถึง
การรับใช้อย่างซื่อสัตย์ของเขา จึงได้โปรดให้หลุดพ้นจากรูปร่างเดิมซึ่งมีลักษณะคล้ายลิง และ
ให้มีลักษณะคล้ายกับพระองค์เอง เช่น จากปาฐกถาของข้าพเจ้า เรื่อง Deux temples Khmers
de plan exceptionnel แสดงที่สมาคมฝรั่งเศส ที่กรุงเทพฯ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๑
การที่ประติมากรรมรูปนี้ ไม่มีนัยน์ตาที่ ๓ บนหน้าผากก็ไม่น่าแปลกประหลาดอะไร เพราะเหตุว่าเทวรูปพระอิศวรเองก็ไม่ได้มี
ตรีเนตรทุกองค์ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประติมาณวิทยาของขอม การค้นคว้าเกี่ยวกับสถานที่ตั้ง ไม่ว่าการที่ข้าพเจ้า ได้กล่าวว่า
ประติมากรรมรูปนี้ เป็นรูปของนินทิเกศวร จะถูกต้องหรือไม่ก็ตามแต่ประติมากรรมรูปนี้ก็คงเป็นรูปาของทวารบาล อย่างแน่นอน
และ ลักษณะพิเศษ ถือเป็นสำริดชุบทองและหล่ออย่างดี จึงอาจทำให้คิดได้ว่าแต่เดิมคงจะตั้งอยู่ในมุขหน้าปราสาทหลังนั้น หรือตั้ง
อยู่หน้าปราสาทองค์ทิศตะวันตกเฉียงใต้ปราสาทหลังนี้ เป็นหลังสำคัญที่สุด และมีฐานสำหรับตั้งประติมากรรม ๒ รูป มากกว่าที่จะ
ตั้งอยู่หน้าประตูซุ้มทิศใดทิศหนึ่ง นอกจากนี้ ทวารบาลนั้นจำต้องตั้งอยู่เป็นคู่ ประติมากรรมที่ค้นพบที่ปราสาทกำแพงใหญ่นี้จำต้อง
มีคู่อยู่อีกด้านหนึ่งของประตูหรือทางที่ตนรักษาอยู่ ถ้าเรานึกไปถึงลักษณะพิเศษของปราสาทบันทายสรีหลังกลางในประเทศกัมพูชา
(พ.ศ. ๑๕๑๐) และบรรดาประติมากรรมซึ่งตั้งอยู่ ๒ ข้างของมุขและประตูหลอดของปราสาทหลังนั้นแล้ว
ประติมากรรมที่เป็นคู่
นั้นก็คงจะเป็นเช่นเดียวกับประติมากรรม ที่ปราสาทสระกำแพงใหญ่นี้ และประติมากรรมนั้น ก็คงจะเป็นประติมากรรมที่ดุร้ายกว่า
มีลักษณะคล้ายเงาะทรงผมหนาและเตี้ยค่อมซึ่งเป็นลักษณะโดยทั่วไปของ
มหากาล ซึ่งเป็นคู่โดยปกติของนินทิเกศวร เช่นที่
ปรากฎอยู่ที่ประสาทพระโค(พ.ศ. ๑๔๒๒) โดยสลักเป็นภาพนูนสูง นอกจากนี้ยังควรจำไว้ด้วยว่าคู่ของนันทิเกศวร-มหากาลนี้โดย
ปกติ จะประจำอยู่กับเทวาลัยของพระอิศวร และเป็นลักษณะประจำจนกระทั่งบางครั้งจะไม่ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกขอม แต่ไป
ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกของขอม แต่ไปปรากฏอยู่ในศิลาจารึก สำหรับเทวาลัยของพระนารายณ์ด้วย
ความสำคัญ ประติมากรรมสำริดชิ้นเอกนี้ นับว่ามีความสำคัญ เพราะประติมากรรมนันทิเกศวรขนาดใหญ่นี้ จะพบที่ปราสาทบัน
ทายสรี ประเทศกัมพูชา ส่วนในประเทศไทย พบแห่งเดียวที่ปราสาทสระกำแพงใหญ่ นับว่าปราสาทสระกำแพงใหญ่เป็นศูนย์กลาง
ที่สำคัญ แห่งหนึ่งในสมัยกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๖
ปัจจุบัน  ประติมากรรมชิ้นนี้ ตั้งแสดงอยู่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย จังหวัดนครราชสีมา





พระพุทธละทายชัยมงคล
สถานที่ค้นพบและเก็บรักษา
บ้านละทาย หมู่ที่ ๑ ตำบลละทาย
อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ
สภาพ/ลักษณะ เป็นพระพุทธรูปปั้นขนาดใหญ่ ปางมารวิชัยพุทธศิลป์
แบบสุโขทัย หน้าตักกว้าง ๘ เมตร สูง ๑๕ เมตร อยู่ในอิริยาบถนั่งขัด
สมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบน พระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาวางบน
พระชานุ (เข่า) มีฉัพพรรณรังสี ซึ่งแปลว่าแสงสว่าง ๖ สี อยู่เบื้องหลัง
พระเศียร ธรรามจักร ๒ ข้าง หมายถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ๒ อย่าง
คือ ๑.โลกียธรรม ๒.โลกุตตระธรรม

ประวัติความเป็นมา พระพุทธรูปองค์นี้ เป็นพระพุทธรูปปั้นขนาดใหญ่
สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาอันแรงกล้าของพระครุโสภณาจันทรังษี
เจ้าอาวาสวัดบ้านละทาย และชาวบ้านละทาย เพื่อเป็นที่สักการบูชาของ
พุทธศาสนิกชนทั้งหลายในแถบลุ่มสามเหลี่ยมมูล-ชี และเป็นศูนย์รวมเครื่องยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจชั่วกาลนาน
ประโยชน์และคุณค่าทางวัฒนธรรม
     เป็นศิลปวัตถุเป็นสถานที่เคารพสักการะบูชของพุทธศาสนิกชนทั่วไปและเป็นศูนย์รวมเครื่องยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ



พระพุทธมงคลมิ่งเมือง

สถานที่ค้นพบและเก็บรักษา
   วัดกันทรารมย์ หมู่ที่ 5 ตำบลดูน
อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ

สภาพ/ลักษณะ    เป็นพระพุทธรูปปั้น ปางประทานพร หน้าตัก กว้าง 3 เมตร
สูง 9 เมตร ประดิษฐานอยู่กลางลานวัดหน้าอุโบสถวัดกันทรารมย์ หมู่ที่ 5
ตำบลดูน อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ

ประวัติความเป็นมา ด้วยเจ้าคณะอำเภอกันทรารมย์ พระครูประภัศร สังฆกิจ
ได้นำพระพุทธรูป เก่าแก่องค์หนึ่ง ขนาด หน้าตัก กว้าง 30 ซม. สูง 100 ซม.
มาจากวัดบ้านดงกระเตา (ร้าง) เนื้อทองสัมฤทธิ์ ท่านจึงมีดำริว่าให้สร้าง
พระพุทธรูปขนาดใหญ่แล้วให้นำพระพุทธรูปองค์นี้บรรจุไว้ ในหน้าอก
เพื่อให้ประชาชนได้เคารพกราบไหว้บูชา ให้เป็นพระพุทธรูปประจำอำเภอ
ในนาม “พระพุทธมงคลมิ่งเมือง”

ประโยชน์และคุณค่าทางวัฒนธรรม เป็นศิลปวัตถุเป็นศูนย์รวมจิตใจของ
พุทธศาสนิกชนทั่วไป วันเพ็ญเดือน 3 ของทุกปี จะมีพิธีสมโภชเป็นประจำ









พระพุทธไสยยาสน์ ปางปรินิพพาน






สถานที่ค้นพบ บ้านเจียงอี ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ
สถานที่เก็บรักษา วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม (พระอารามหลวงแห่งแรกของจังหวัดศรีสะเกษ) ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมือง
จังหวัดศรีสะเกษ
สภาพ/ลักษณะ เป็นพระพุทธไสยาสน์ปางนิพพาน ยาว ๒๗ เมตร
ประวัติความเป็นมา พระพุทธไสยาสน์ ปางนิพพาน ยาว ๒๗ เมตร คุณแม่อูบ ภวภูตานนท์ สมทบทุนสร้างถวายในพระวิหาร
พระพุทธไสยาสน์มีพระบรมสารีริกธาตุ ทรงบรรจุอยู่ในพระเศียร พระพุทธไสยาสน์
ประโยชน์และคุณค่าทางวัฒนธรรม เป็นมรดกทางศิลปะผู้ทำเป็นช่างฝีมือจากช่างคนไทย ช่างคนไทย ผสมกับช่างประเทศลาว
๑. พระวิหารพระพุทธไสยาสน์ เริ่มสร้าง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐ และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ปางปรินิพพาน และที่ประดิษฐาน พระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร.
๒. พระพุทธไสยาสน์ปางปรินิพพาน ยาว ๒๗ เมตร คุณแม่อูบ ภวภูตานนท์ มีพระบรมสารีริกธาตุทรงบรรจุอยู่ในพระเศียร
พระพุทธไสยาสน์






ใบเสมาหิน บ้านตะเคียนตะวันออก

สถานที่ค้นพบ บ้านตะเคียนรามตะวันออก ตำบลตะเคียนราม อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ทางเข้าถนนลูกรังระยะทาง
๑๐ กิโลเมตร ใบเสมา บ้านตะเคียน ตำบลตะเคียนราม อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งนักโบราณคดี ให้ความเห็นว่า
เป็นโบราณวัตถุในพุทธศาสนา ยุคสมัยทวาราวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓










ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ วัดบ้านพราน

ตั้งอยู่ที่   
วัดบ้านพราน ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ ทับหลังนี้มีความสวยงามมาก
เป็นศิลปะสมัยบาปวน ลวดลายชัดเจนสวยงาม ชาวบ้านช่วยกันดูแลรักษาเป็นอย่างดี พระครูวิบูลธรรมวาทีได้นำมาจากภูฝ้าย เก็บรักษาไว้ในบริเวณวัด ระยะทางถนนลูกรัง
ห่างจากถนนขุนหาญ-น้ำตกสำโรงเกียรติ แยกเข้าไปอีก 10 กิโลเมตร








บานประตูหอไตร วัดหลวงสุมังคลาราม

     บานประตูหอไตร มีขนาดสูง 2.70 เมตร กว้าง 0.40 เมตร สลักลายกนก
ปนกับลายพรรณพฤกษา และภาพสัตว์หลายชนิด เช่น สิงห์ แรด ลิง ลายเหล่านี้ มีการลงรักปิดทองประดับด้วยกระจกสีเหลืองและสีขาวในบางแห่ง









เสมาหิน วัดบ้านไฮ ต.กระแซง
สถานที่ค้นพบและเก็บรักษา บ้านไฮ หมู่ที่ ๓ ตำบลกระแซง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

สภาพ/ลักษณะ เป็นเสมาหินกว้าง ๕๐ เซนติเมตร สูง ๕๐ เซนติเมตร

ประวัติความเป็นมา มีอายุประมาณ ๑,๐๐๐ ปี

ประโยชน์และคุณค่าทางโบราณคดี ใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ เป็นมรดกทาง
ศิลปะ วัฒนธรรมที่เด่น มีคุณค่า เพื่อให้เยาวชนรุ่นหลัง ได้เกิดความรุ่นหลัง ได้เกิดความภูมิใจรัก และหวงแหนมรดกทางวัฒนธรรมร่วมยุคสมัยทวาราวดี





หลักเสมา

หลักเสมา วัดบ้านสำโรงพลัน ตำบลสำโรงพลัน อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ
สถานที่ค้นพบและเก็บรักษา บ้านสำโรงพลัน หมู่ที่ ๑ ตำบลสำโรงพลัน อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ

สภาพ/ลักษณะ สร้างด้วยหินทราย รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดประมาณ ๕๐ เซนติเมตร สูงประมาณ ๑๕๐ เซนติเมตร

ประวัติความเป็นมา เดิมฝั่งดินอยู่ด้านทิศใต้ของวัดสำโรงพลัน ห่างจากวัดประมาณ
๑๐๐ เมตร ปกคลุมด้วยดินจอมปลวก ชาวบ้านขุดดินทำนาพบเข้า จึงได้นำมาที่
วัดสำโรงพลัน สันนิษฐานว่า อาจจะเป็นเสาหลักเขตแดนเมือง

ประโยชน์และคุณค่าทางวัฒนธรรม เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หรือเป็นหลักฐาน
ทางโบราณคดี





ตู้พระธรรมวัดยางใหญ่



สถานที่ค้นพบและเก็บรักษา วัดยางใหญ่ บ้านยาง หมู่ที่ ๖ ตำบลเมืองแคน อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ

สภาพ/ลักษณะ เป็นตู้พระธรรมใช้เก็บหนังสือโบราณเป็นอักษรขอม อักษรลานนาไทย หนังสือธรรมะ ไม่สามารถนับอายุได้ เป็นใบลานทุกประเภท ลักษณะตู้พระธรรม เป็นลายลงรักปิดทอง ไม่พบอายุแน่ชัด แต่มีก่อน พ.ศ. ๒๔๘๑

ประวัติความเป็นมา ในสมัยพระอุปัชฌาชย์สาย จันทโชโต เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ท่านพระคุณเจ้าได้ตั้งสำนักเรียนขึ้นมีลูกศิษย์
มาเรียนเป็นจำนวนมาก จึงได้ทำการจารึกความรู้ลงในใบลาน แล้วเก็บไว้ในตู้พระธรรม เมื่อพระคุณเจ้าได้มรณภาพ ก็ยังมีลูกศิษย์ได้นำมาใช้ศึกษาเล่าเรียนอีก ในสมัยที่หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท บรรพชาเป็นสามเณร ได้เข้ามาศึกษาเล่าเรียน
ในสำนักเรียนแห่งนี้ ก็ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมจากใบลานนี้ กรมศิลปากรได้เข้ามาดูแล และประกาศขึ้นทะเบียนแล้ว
แต่ไม่ทราบว่า ปี พ.ศ. ใด

ประโยชน์และคุณค่าทางวัฒนธรรม
เป็นที่ศึกษาค้นคว้าพระธรรม และเป็นมรดกล้ำค่รทางประวัติศาสตร์












เจ้าพ่อหลักเมือง

     ตั้งอยู่สี่แยกถนนเทพา ตัดกับถนนหลักเมือง ด้านทิศตะวันออกของศาลากลาง ห่างจาก
เขตศาลากลาง จังหวัดเพียง ๑๐ เมตร เท่านั้น ศาลหลักเมืองเดิมมีสภาพชำรุดทรุดโทรม เนื่องจากก่อสร้างมานาน จึงไม่สะดวกในการประกอบพิธีกรรมและสักการบูชา ในปี ๒๕๒๙ จังหวัดจึงได้ทำการก่อสร้างศาลหลักเมืองขึ้นใหม่ในบริเวณเดิมโดยได้ขยาย บริเวณที่ตั้ง
ให้กว้างออกไปอีกการก่อสร้างเป็นแบบจตุรมุข องค์เสาหลักเมืองทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ยอดเสา
แกะสลักเป็นรูปหัวใจ เม็ดทรงมัตถะ เส้นผ่าศูนย์กลางาของต้นเสา ๓๐ เซนติเมตร ความสูง
จากฐานถึงยอดเสา ๒๒๙ เซนติเมตร สิ้นค่าก่อสร้าง ๓,๖๙๐,๐๐๐ บาท นับเป็นศาลหลักเมือง
ที่สวยงามแห่งหนึ่งของประเทศไทย

ประโยชน์และคุณค่าทางวัฒนธรรม

๑. เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ที่จะทำให้มนุษย์สามารถสืบสานอดีตอันยาวนานของตน และเห็นร่องรอยอารยธรรมความเจริญที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้
๒. เป็นโบราณวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้กับประชาชนทั่วไปได้กราบไหว้
สักการบูชา
















    พระบาทน้ำพุ

      ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของบ้านศาลา ตำบลโคกตาล อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ลักษณะเป็นรอยประทับของพระบาท บนลานหิน
ยาว ๑๔๓ เซนติเมตร กว้าง ๓๖ เซนติเมตร และ ๔๙ เซนติเมตร ลึก ๑-๒ เซนติเมตร














เรือโบราณ

สถานที่ค้นพบ
บ้านค้อ หมู่ที่ ๖ ตำบลรังแร้ง อำเภออุทุมพรพิสัย
จังหวัดศรีสะเกษ

สถานที่เก็บรักษา วัดบ้านค้อ หมู่ที่ ๖ ตำบลรังแร้ง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ

สภาพ/ลักษณะ เป็นหัวเรือโบราณไม้ตะเคียน อยู่ในลำน้ำมูล อายุประมาณ
๒๐๐ ปี ยาว ๓ เมตร ตรงกลางหัวเรือกว้าง ๑ เมตร ประวัติความเป็นมา
นายสี หล้าธรรม ราษฎรบ้านค้อกับพวก ได้พบเรือในแม่น้ำมูล โดยส่วน
หัวเรืออยู่ในเขต อำเภออุทุมพรพิสัย ส่วนตัวเรืออยู่ในเขตอำเภอราษีไศล จึงได้นำหัวเรือมาเก็บรักษาไว้ที่วัดบ้านค้อ จากการตรวจสอบหัวเรือ
ดังกล่าว พบว่า เรือดังกล่าวเป็นเรือขุดจากต้นไม้ตะเคียนขนาดใหญ่ทั้งต้น ลักษณะของเรือเป็นรูปกระสวยแหลมตรงปลายหัวมีรอยเจาะรูเพื่อผูก
โยงเรือกับหลัก ขนาดกว้าง ๙๒ เซนติเมตร ยาว ๒๙๐เซนติเมตรเรือดังกล่าวน่าจะเป็นเรือพายขนาดใหญ่กระสวยที่ขุดจากต้นไม้
ขนาดใหญ่ต้นเดียว ซึ่งเรือโบราณดังกล่าวนี้ปัจจุบันพบ ๑ ลำ ที่มีสภาพสมบูรณ์ จัดแสดงอยุ่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อุบลราชธานี
ซึ่งสิ่งนี้ย่อแสดงให้เห็นได้ว่า เรือดังกล่าวนี้น่าจะเป็นพาหนะที่ใช้ อย่างแพร่หลายของประชาชนในอดีต ที่อาศัยอยู่ในบริเวณแม่น้ำมูล
หรือในลำน้ำใกล้เคียงในดินแดนแถบจังหวัดศรีสะเกษ-จังหวัดอุบลราชธานี จากลักษณะของ เทคนิคการสร้าง ที่ขุดจากไม้ขนาดใหญ่
่ทั้งต้นโดยไม่ใช้ตะปู ตลอดจนความเก่าแก่ของเรือลำน้ำ น่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ปีมาแล้ว


ประโยชน์และคุณค่าทางวัฒนธรรม
๑. เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่จะทำให้มนุษย์สามารถสืบสานอดีตอันยาวนาน ของตน และเห็นร่องรอยอารยธรรม
ความเจริญที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้
๒. เป็นโบราณวัตถุที่สำคัญให้เยาวชนรุ่นหลังได้ศึกษา และทราบวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษ
๓. เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของชาวจังหวัดศรีสะเกษ กระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น