วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ศาสนบุคคล จังหวัดศรีสะเกษ

ศาสนบุคคล
พระเทพวรมุนี (เสน ปญฺญาวชิโร)
     พระเทพวรมุนี (เสน ปญฺญาวชิโร ป.ธ.๗) อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม อดีตเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ เป็นพระเถระผู้ใหญ่ ผู้มีความรู้
ความสามารถมากรูปหนึ่ง แตกฉานในพระคัมภีร์ต่างๆ ทางพระพุทธศาสนา มีปฏิญาณไหวพริบ สามารถอธิบายธรรมะที่ยากและลึกซึ้งให้ง่าย
และแจ่มแจ้ง เป็นพระนักเทศก์ที่เชี่ยวชาญ เป็นพระธรรมกถึกเอก ที่มีแววมาตั้งแต่ยังเป็นสามเณร พอสอบได้เปรียญ ๔ ประโยค ก็เริ่ม
การเทศน์แสดงออกด้วยกล้าถามกล้าตอบโต้ขัดแย้งกับพระธรรมกถึกชั้นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงในยุคสมัยนั้นได้ มีอุปนิสัยชอบการโต้เถียง
ทางวิชาการ มีความกล้าหาญและเชื่อมั่นในตนเองมาก ครั้งบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว การเทศน์แบบสองธรรมาสน์ ปุจฉา-วิสัชนา ของท่านมุ่งทาง
วิชาการอย่างจริงจัง จนถึงขนาดฝ่ายตรงข้ามยอมแพ้กลาง ธรรมาสน์ หรือ ลงธรรมาสน์หายไปก็เคยมี คู่เทศน์ของท่านที่คนนิยมมากทั้ง
จังหวัดศรีสะเกษเองและจังหวัดอุบลราชธานีก็คือ พระอาจารย์เขียว จังหวัด
อุบลราชธานี เมื่อรู้ข่าวพระ ๒ นักเทศน์นี้คราวใด ประชาชนในท้องถิ่นเดินทางไปฟังยิ่งกว่าฟังดนตรีหรือหมอลำเสียอีก
     ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๑ ตรงกับวัน พฤหัสบดี แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะเมีย ที่บ้านโนนสูง หมู่ ๗ ตำบลแขม อำเภอ อุทุมพรพิสัย
จังหวัดศรีสะเกษ เดิมชื่อเสน ใยขันธ์ บิดาชื่อนายพิมพ์ มารดาชื่อนางผุ ย บิดามารดาเป็นชาวนา มีฐานะยากจน และยังเป็นคนไทยเผ่าส่วย ซึ่งมักเป็นที่
ดูแคลนของชาวไทยเผ่าอื่นๆ เมื่ออายุ ๑๒ ปี ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนประชาบาล วัดบ้านแขม ตำบลแขม อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เรียนจบชั้น
ประถมบริบูรณ์ เมื่ออายุ ๑๔ ปี บิดาเสียชีวิต มีพี่น้องร่วมบิดาเพียง ๒ คน คือท่านเอง กับนางเคน แขมคำ น้องสาว
     พ.ศ. ๒๔๗๖ อายุ ๑๖ ปี บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสำโรงใหญ่ ตำบล สำโรง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ พระครูเทวราชกุญชร(จูม) เป็น
พระอุปัชฌาย์
     พ.ศ. ๒๔๘๒ อายุ ๒๑ ปี อุปสมบทที่วัดประยุรวงศาวาส ตำบล กัลยาณมิตร อำเภอธนบุรี จังหวัดธนบุรี(ปัจจุบันกรุงเทพฯ) พระธรรมปหังษนา จารย์
เป็นพระอุปัชฌาย์  พระครูวินัยสังวร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูสุตธนวัฒน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ การศึกษาทางธรรมได้เปรียญ ๗ และ
นักธรรมเอก การศึกษาทางโลก สอบได้ชุดครูพิเศษมัธยม(พ.ม.)   
     ตำแหน่งงานที่สำคัญ เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมตลอดชีวิต สอนด้วยศรัทธาและทักษะพิเศษ โดยเริ่มตั้งแต่สอบเปรียญธรรมสามเณรได้ในปี
พ.ศ. ๒๔๘๓ โดยเป็นครูสอนปริยัติธรรม สำนักเรียนวัดปราสาททอง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี แล้วเดินทางไปสอนในสำนักเรียนอีกหลายแห่ง
ได้แก่ สำนักเรียนวัดประยุรวงศาวาส จังหวัดธนบุรี สำนักเรียนวัดบ้านเหงี่ ยง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ สำนักเรียนวัดบ้านหนองแปน
อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ สำนักเรียนวัดบ้านสนม อำเภอรัตน บุรี จังหวัดสุรินทร์ สำนักเรียนวัดทินกรนิมิต อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี
เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านหนองแปน อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ในปี พ .ศ. ๒๔๙๔ ได้กลับมาตุภูมิอีกครั้งหนึ่งและรับเป็นผู้อำนวยการศึกษา
ประจำสำนักวัดมหาพุทธาราม อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ตามนโยบายคณะสงฆ์ส่วนกลาง หลังจากนั้น พ.ศ. ๒๔๙๕ ก็เป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ
เป็นพระอุปัชฌาย์จังหวัดศรีสะเกษ และต่อมา อีก ๒ ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นเจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม
     สมณศักดิ์ที่ท่านได้รับ มีดังนี้
     พ.ศ. ๒๔๙๔ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่พระธรรมจินดามหามุนี
     พ.ศ. ๒๕๐๑ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่พระราชจินดามุนี
     พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่พระเทพวรมุนี
     พระคุณท่านเป็นครูผู้มีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพอย่างสูง มีประสบการณ์ ในการสอนพระปริยัติธรรมและบาลีมากที่สุดรูปหนึ่งของพระเถระเมืองไทย
เป็นผู้มีความจำดีสามารถจดจำพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ทั้งเล่ม มีความพอใจการสนทนาโต้ตอบในเชิงการศึกษาด้านต่างๆ กับนักการศึกษา
และบุคคลทั่วไป ประกอบด้วยอุปนิสัยครูอย่างแท้จริง มีความเอาใจใส่และรับผิด ชอบต่อลูกศิษย์อย่างสูง เป็นที่รักและเคารพบูชาของลูกศิษย์ทุกหนแห่ง
     ผลงานด้านต่างๆ ได้แก่การบูรณะและพัฒนาวัดมหาพุทธาราม พ.ศ. ๒๔๙๗-๒๕๓๕ ซึ่งเป็นเวลานานถึง ๓๘ ปี เป็นเจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม
(วัดพระโต) อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีผลงานในการสร้างศาสนวัตถุ ศาสน บุคคล และศาสนธรรมอย่างกว้างขวาง ที่สำคัญๆ ก็คือเรื่องเสนาสนะ
ภายในวัด เมื่อท่านมาอยู่ปีแรกๆ ในฐานะเจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม วัดมหาพุทธารามอยู่ในสถานะที่ทรุดโทรมและว่างจากเสนาสนะที่จำเป็นแทบ
ทุกอย่าง ท่านได้ดำเนินการจัดสร้างและซ่อมแซมเสนาสนะทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นมา ใหม่จนเป็นที่ปรากฏตามที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งประกอบด้วย พระอุโบสถ
พระวิหารใหญ่หลวงพ่อโต ศาลาการเปรียญ เมรุ พร้อมอาคารประกอบพิธีกรรมศพ สร้างกำแพงล้อมรอบวัดทั้งสี่ด้าน พร้อมซุ้มประตูที่สวยสง่างาม
ผลงานชิ้นสุดท้ายก่อนมรณภาพก็คือวางรากฐานอาคารอเนกประสงค์ สร้างด้วยคอมกรีตเสริมเหล็ก ทรงไทย ๒ ชั้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นห้องเรียนสอน
พระปริยัติธรรมบาลี นักธรรม รวมทั้งเป็นโรงเรียนปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาด้วย เป็นที่พักพระภิกษุสามเณรด้วย
     พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๐๐ ตั้งโรงเรียนวัดมหาพุทธาราม อันเนื่องมาจาก นาย เทพ โชตินุชิต เจ้าของโรงเรียนเทพวิทยาเหนือ และสตรีเทพวิทยา กับพวก
ถูกจับในข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ และไม่สามารถดำเนินกิจการโรงเรียนทั้งสอง โรงเรียนนั้นต่อไปได้ เป็นเหตุให้ทางราชการหนักใจเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง
หาที่เรียนให้แก่นักเรียนทั้งสองโรงเรียนใหม่ และได้ขอความร่วมมือจากพระคุณ ท่านให้รับภาระการบริหารดำเนินการโรงเรียนทั้งสองต่อไปในขณะนั้น
เป็นเวลาใกล้จะเปิดเทอมการศึกษาแล้ว เหลือเวลาอยู่เพียง ๑๘ วันเท่า นั้น ท่านจะต้องสร้างอาคารเรียน โต๊ะ เก้าอี้ ตลอดจนจัดหาอุปกรณ์การเรียน
การสอนต่างๆ อีกมากมาย ในที่สุดก็สามารถเปิดโรงเรียนได้ในวัน ที่ ๑๖ พฤษภาคม นักเรียนทั้งชั้นเด็กเล็ก ชั้นประถม และชั้น มัธยม เกือบ ๒,๐๐๐ คน
พร้อมผู้ปกครองจำนวนเท่าๆ กับนักเรียน ต่างพากันเดินทางเข้ามายังโรงเรียนแห่งใหม่ที่บริเวณวัดมหาพุทธารามแน่นไปหมดและดำเนินการเรียน
การสอนได้สืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้
     ในเรื่องการศึกษานั้นท่านสนับสนุนให้จัดตั้งมูลนิธิขึ้นสนับสนุนการ ศึกษาหลายมูลนิธิ รวมทั้งศิษยานุศิษย์ได้ร่วมตั้งขึ้นภายหลังอีก จำนวน ๕ มูลนิธิ
คือ มูลนิธิเพื่อการศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ มูลนิธิการศึกษาอำเภอเมือง-อำเภอ ยางชุมน้อย มูลนิธิพุทธสมาคมจังหวัดศรีสะเกษ มูลนิธิธาริณี กองเพชร
และมูลนิธิพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร)
     พ.ศ. ๒๔๙๕-๒๕๓๕ ช่วงเวลา ๔๐ ปี เป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ และเป็นพระอุปัชฌาย์ จังหวัดศรีสะเกษ
     พระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร) มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ . ๒๕๓๕ ตรงกับวันศุกร์แรม ๒ ค่ำ เดือน ๔ ปีวอก สิริรวมอายุได้ ๗๓ ปี
๓ เดือน ๒๒ วัน






พระญาณวิเศษ (ศรี ฐิตธมฺโม)

     พระญาณวิเศษ (ศรี  ฐิตธมฺโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงสุมังคลารามและอดีตเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ
ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ท่านได้รับสมณศักดิ์สูงสุด เป็นพระราชาคณะที่ พระญาณวิเศษ ได้สร้างผลงานไว้
ท ี่วัดหลวงสุมังคลารามเป็นอันมากและทั้งเป็นพระสงฆ์รุ่นบุกเบิก สร้างและวางรากฐานความมั่นคง
ให้แก่คณะธรรมยุตจังหวัดศรีสะเกษ
     เกิดเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๑ ตรงกับวันพุธขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีชวด ที่บ้านหนองโน หมู่ที่ ๕
ตำบลน้ำคำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัด ศรีสะเกษ เป็นบุตรของ นายธรรมา (จารย์ครูธรรมา) สุมงคล
 และนางบุญมา ท่านเกิดในตระกูลชาวนา มีพี่น้อง ๘ คน ท่านเป็นบุคคลที่ ๔ ต่อมามารดา เสียชีวิต บิดา
ได้ภรรยาใหม่ จึงมีพี่น้องร่วมบิดาแต่ต่างมารดาอีก ๔ คน
     การศึกษาเบื้องต้นและการจาริกไปต่างถิ่น  เมื่ออายุ ๑๓ ปี ได้เรียนหนังสือไทยที่โรงเรียนวัดพระโต
(วัดมหาพุทธาราม) ต่อมาเมื่ออายุ ๑๕ ปี บรรพชา เป็นสามเณรที่วัดพระโต มีพระครูเกษตรศีลาจารย์
(นาม) เจ้าคณะจังหวัดขุขันธ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ จำพรรษาอยู่วัดพระโต ได้เล่าเรียนหนังสือภาษาไทย
ต่อในโรงเรียนวัดพระโตนั้น จนสอบได้ชั้นมูล ๓ (ประถม ๓) ในปีต่อมา ด้วยความรู้ความสามารถเป็นที่
พอใจของพระอุปัชฌาย์ฯ จึงขอแต่งตั้งให้เป็น ครูสอนภาษาไทยที่โรงเรียนวัดพระโต ได้รับอนุมัติจาก
กระทรวงธรรมการ รับนิตยภัตเดือนละ ๖ บาท เป็นครูสอนอยู่ ๒ ปี ได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่วัดใหม่
บริเวณที่ตั้งโรงเรียนวัดพระโตปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่ดินวัดมหาพุทธาราม (วัดพระโต) อยู่ฝั่งตะวันออกของ
ถนนขุขันธ์ ตรงข้ามกับวัดมหาพุทธารามนั่นเอง (วัดใหม่เป็นวัดธรรมยุตแห่งแรกในจังหวัดศรีสะเกษ
 แต่ร้างไปในภายหลัง มีพระมหารัตน์ จากจังหวัดอุบลราชธานีเป็นเจ้าอาวาส) ได้เรียนพระปริยัติธรรม ไปด้วย ๒ ปี พ.ศ. ๒๔๔๘ ติดตาม
อาจารย์พระมหารัตน์ ไปอยู่วัดสุปัฏนาราม จังหวัดอุบลราชธานี เรียนวิชาฝึกหัดครูที่วัดนั้น ๒ ปี จบหลักสูตรชั้นสูงของโรงเรียน
     พ.ศ. ๒๔๕๐ ติดตามอาจารย์พระมหารัตน์ ไปจำพรรษาที่วัดสระแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ช่วยสอนหนังสือภาษาไทย
ให้สามเณร และศิษย์วัดนั้น ๑ ปี
     พ.ศ. ๒๔๕๑ อายุย่างเข้า ๒๑ ปี ย้ายจากวัดสระแก้ว อำเภอพิบูล มังสาหาร เข้ามาอยู่วัดสุปัฏนาราม ได้รับการอุปสมบทที่วัดสุปัฏนาราม ตำบล
ในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๔๕๑ สมเด็จ พระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระศาสนดิลก
เป็นพระอุปัชฌาย์ ระหว่างนี้ได้ศึกษาธรรม สอบไล่ได้นักธรรมตรี นักธรรมโท และสอบบาลีไวยากรณ์ สนามวัดได้
     พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๔๕๔ ไปสอนหนังสือภาษาไทยแก่พระภิกษุสามเณรและศิษย์วัดต่างๆ ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
     พ.ศ. ๒๔๕๕ พระอุปัชฌาย์ให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านค้อหวาง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บริหารวัด สอนภาษาไทยแก่ศิษย์
สร้างเสนาสนะที่สำคัญคืออุโบสถ และศาลาการเปรียญ อย่าง ละ ๑ หลัง อยู่ ๒ ปี จึงย้ายจากวัดค้อหวางเข้าจำพรรษาที่วัดศรีทอง(วัดศรี อุบลฯ)
ตำบลในเมือง อำเภอเมือง โดยพระมหาเสน ชิตเสโน เป็นเจ้าอาวาส ช่วยสอนและบูรณะปรับปรุงวัด อยู่ ๒ ปี จึงย้ายจากวัดศรีทองไปวัดบรมนิวาส
กรุงเทพฯ เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช เป็นเจ้าอาวาส ได้ศึกษาบาลี และ
ช่วยภาระเจ้าอาวาสประการต่างๆ อยู่ ๒ ปี ย้ายไปจำพรรษา ที่วัดพิชัยญาติการาม อำเภอคลองสาน จังหวัดธนบุรี เจ้าคุณพระเขมาพิมุขธรรม
เป็นเจ้าอาวาส ศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่ ๒ ปี
     พ.ศ. ๒๔๖๓ ลาเจ้าอาวาสวัดพิชัยญาติการาม กรุงเทพฯ กลับภูมิลำเนา เดิม ที่จังหวัดขุขันธ์ (ศรีสะเกษ) ได้ไปจำพรรษาที่วัดโพนข่า ตำบล
โพนข่า อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ มีพระทอง เป็นเจ้าอาวาสวัดโพนข่า ในปีต่อมา พ.ศ. ๒๔๖๔ พระทองลาสิกขา ได้รับบริหารงานในตำแหน่ง
เจ้าอาวาสต่อมาเป็นเวลา ๕ ปี ในระหว่างนี้มีผลงานด้านต่างๆ มากมาย เป็นต้นว่า เปิดการศึกษาพระปริยัติธรรม และบาลีขึ้นที่วัด ปลูกสร้างศาลา
การเปรียญ ๑ หลัง ปลูกสร้างกุฏิไม้เนื้อแข็ง ทรงมลิลา ๑ หลัง ก่อสร้างอุโบสถตามแบบกรมศิลปากร ๑ หลัง และขุดสระน้ำ เพื่อใช้ในฤดูแล้ง ๑ แห่ง
 ในบริเวณวัด เป็นต้น
     มูลเหตุการได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงสุมังคลาราม คือ พ.ศ. ๒๔๖๙ ขุนอำไพ พร้อมด้วยนายเปลี่ยน ศีลวาณิช และนายผึ้ง มหาผล ผู้นำ
หมู่พุทธบริษัท ได้นิมนต์ไปจำพรรษาอยู่วัดหลวงสุมังคลาราม มีพระครูเกษตรศีลาจารย์ (ทอง) เป็นเจ้าอาวาส ได้ช่วยภาระเจ้าอาวาสในด้าน
การก่อสร้างพระอุโบสถ วัดหลวงสุมังคลาราม และยังคงไปดูแลควบคุมการก่อสร้างอุโบสถวัดโพนข่าพร้อมกันไปทั้งสองวัด โดยใช้วิธีการเหมือนกัน
คือจ้างช่างคนญวนเป็นหัวหน้า และระดมภิกษุสามเณรในวัดเป็นคนงาน จนวัดโพนข่าเสร็จลง สามารถทำพิธีผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๔๗๓ ส่วนอุโบสถวัดหลวงสุมังคลาราม เสร็จลงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕
     พ.ศ. ๒๔๗๖ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ขอวัดหลวงสุมังคลารามจาก เจ้าคณะจังหวัดขุขันธ์(ศรีสะเกษ) เพื่อตั้งเป็นวัดธรรมยุต โดย
นิมนต์ท่านพระครูเกษตรศีลาจารย์ เจ้าอาวาสรูปเดิมและเจ้าคณะแขวงขณะนั้น ย้ายไปอยู่วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม และแต่งตั้งให้ท่าน
พระญาณวิเศษ (ศรี ฐิตธมฺโม) ซึ่งขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์ที่พระครูสิริสารคุณ เป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงฯ เมื่ออายุ ๔๖ พรรษา ๒๖
     พ.ศ. ๒๔๘๑ รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอน้ำอ้อม (อำเภอกันทรลักษ์) จัง หวัดขุขันธ์ (ศรีสะเกษ) จากนี้ไปก็จำเริญตำแหน่งงานเรื่อยไปจนถึง
ปี พ.ศ.๒๕๑๔ เป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ธรรมยุต
     ด้านสมณศักดิ์ ท่านได้สมณศักดิ์ครั้งแรกเมื่ออายุ ๔๙ พรรษา ๒๙ พ.ศ . ๒๔๗๙ รับสัญญาบัตร (พระครูชั้นตรี) ที่พระครูสิริสารคุณ แล้วเลื่อน
ไปตามลำดับชั้น โท เอก พิเศษ จนได้เป็นพระราชาคณะที่ พระญาณวิเศษ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๔
     ผลงานสำคัญของท่าน คือได้ตั้งรากฐานคณะธรรมยุตขึ้นอย่างมั่นคงในจังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ขยายวัดคณะธรรมยุตออกไป ๑๗ วัด ดังนี้

วัดหลวงสุมังคลาราม พระอารามหลวง ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ
วัดโพนข่า ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ
วัดป่าศรีสำราญ ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ
วัดกุดโง้ง ตำบลโพนข่า อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ
วัดบ้านบก ตำบลโพนข่า อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ
วัดประชานิมิต ตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
วัดหนองแวง ตำบลหนองแวง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ
วัดบ้านแดง หมู่ ๑๐ ตำบลจาน อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ
วัดโนนสว่าง หมู่ ๖ ตำบลพรหมสวัสดิ์ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ
วัดสวนกล้วย ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
วัดหนองบัว ตำบลศรีแก้ว อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ
วัดประชารังสรรค์ ตำบลห้วยทับทัน อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ
วัดป่าบ้านบาก ตำบลหนองอึ่ง อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ
วัดค้อยางหล่อ ตำบลหัวช้าง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
วัดป่าศรีหนองนา ตำบลสำโรงปราสาท อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ
วัดหนองหญ้าลาด ตำบลหนองหญ้าลาด อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
วัดประชาสุวรรณ์อรัญญาวาส ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ

     นอกจากนี้ยังมีที่พักสงฆ์อยู่อีก ๒๒ แห่ง วัดธรรมยุตในเขตปกครอง จังหวัดศรีสะเกษเกิดขึ้นได้ถือว่าด้วยบารมีของพระญาณวิเศษ(ศรี ฐิตธมฺ โม) เป็นมูลเหตุ
     พระญาณวิเศษ (ศรี ฐิตธมฺโม) มรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๙ ตรงกับวันจันทร์แรม ๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีขาล สิริรวมอายุ ๙๘ ปี ๒ เดือนเศษ







พระศาสนดิลก (หน่วย ขนฺติโก)
     พระศาสนดิลก (หน่วย ขนฺติโก) อดีตรองเจ้าอาวาสวัดหลวงสุมังคลาราม และ เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๒๖ ต่อจาก
พระญาณวิเศษ (ศรี) นามเดิม หน่วย นามสกุล ทองอินทร์ บิดา นาย พิมพ์ มารดา นางพา กำเนิดเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๗ ตรงกับวัน พุธ ขึ้น ๑๔ ค่ำ
เดือน ๕ ที่บ้านยางชุมน้อย ตำบลยางชุมน้อย อำเภอราษีไศล จังหวัด ศรีสะเกษ การศึกษาขั้นต้น จนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนประชาบาลวัด บ้าน
ยางชุม ตำบลยางชุมน้อย พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้บรรพชาอุปสมบท ณ วัดหลวงสุมังคลาราม ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมือง จังหวัด ศรีสะเกษ ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่
วัดบ้านยางชุมน้อยก่อน หลังจากนั้นได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดหลวงสุมังคลา ราม สอบนักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม ๓ ประโยคได้ จากนี้ได้ไปอยู่
วัดนรนาถสุนทริการาม กรุงเทพมหานคร สอบเปรียญธรรม ๔ ประโยคได้ ณ สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้เดิน
ทางกลับมาจำพรรษาที่วัดหลวงสุมังคลาราม และเริ่มรับตำแหน่งทางการปกครอง
     หน้าที่การงาน
     พ.ศ. ๒๔๙๖ เป็นเจ้าคณะธรรมยุต ผู้ช่วยเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ. ๒๕๑๔ เป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองศรีสะเกษ อำเภออุทุมพรพิสัย อำเภอกันทรารมย์(ธ.)
     พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นพระอุปัชฌาย์
     พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นเจ้าคณะจังหวัดธรรมยุตศรีสะเกษ
     สมณศักดิ์
     พ.ศ. ๒๕๑๔ เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่ พระครูญาณประพัฒน์
     พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระศาสนดิลก
     ผลงานเด่นๆ ท่านได้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์แก่ชาวยางชุมน้อยอย่างมาก มาย เช่น นำชาวบ้านสร้างศาสนวัตถุ ได้แก่อุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิ ริเริ่ม
สร้างโรงเรียนบ้านยางชุมน้อย (หน่วยคุรุราษฎร์รังสรรค์) แนะนำประชาชนบำรุง ดินในการทำไร่ทำนา นำชาวบ้านขุดบ่อน้ำถวายรอบหมู่บ้าน กันที่ดินราชพัสดุ
สร้างที่ว่าการอำเภอยางชุมน้อยและส่วนราชการอื่นๆ นำชาวบ้านให้เห็นคุณค่า ของการศึกษาและส่งบุตรหลานเข้าเรียนต่อให้มาก ปัจจุบันศิษยานุศิษย์ของท่าน
ได้ตั้งกองทุนการศึกษาพระศาสนดิลก (หน่วยขฺนติโก) เพื่อรำลึกถึงพระคุณของท่านที่มรณภาพไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖
     เมื่อเป็นเจ้าคณะจังหวัด เป็นพระนักพัฒนาและเสียสละเพื่อหมู่คณะ เป็น ผู้เริ่มขอยกวัดหลวงสุมังคลารามขึ้นเป็นวัดหลวงได้ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔
     พระศาสนดิลก (หน่วย ขนฺติโก) มรณภาพ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๖ ตรงกับวันเสาร์ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒




พระเกษตรศีลาจารย์
     พระเกษตรศีลาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดเจียงอีศรีมงคลวราราม อดีตรองเจ้า คณะจังหวัดศรีสะเกษ เป็นผู้พัฒนาวัดเจียงอีศรีมงคลวรารามในทุกๆ ด้าน
โดยเฉพาะงานการก่อสร้างศาสนวัตถุ เสนาสนะต่างๆ ของวัดเจียงอีศรีมงคลวราราม บริเวณเขตพุทธาวาส ได้แก่ พระอุโบสถ พระวิหารใหญ่ พระวิหาร
พุทธไสยาสน์ ธรรมาวาส ศาลาการเปรียญโรงเรียนพระปริยัติธรรม หรือบริเวณสังฆ วาส ที่อยู่ของพระสงฆ์ พร้อมทั้งกำแพงล้อมรอบพระอารามทั้ง ๔ ด้าน
เป็นผลงานอันเห็นประจักษ์จนทางราชการยกย่องแต่งตั้งให้เป็นวัดตัวอย่างในเขต ภาค ๑๐ จัดเป็นวัดแรกในจังหวัดศรีสะเกษ จนกระทั่งในกาลต่อมาจึงได้
รับการยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง
     ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ ณ บ้านเจียงอี หมู่ ที่ ๑๐ ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ นามเดิม ชื่อ หนู บิดา คือ
ส.ต.ท.ปาน บุตรธรรมา มารดานางเพ็ง บิดาเคยเข้าไปเป็นมหาดเล็กในวั้นพระเจ้าสาย กรุงเทพมหานคร และรับราชการเป็นตำรวจภูธรยศ สิบตำรวจโท
เมื่อลาออกจากตำรวจ ก็ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านเจียงอี ตำบลเมือง เก่า มารดาทำนาเป็นอาชีพหลัก มีพี่น้องร่วมท้องมารดาเดียวกัน ๕ คน ท่านเป็น คนที่
๔ ได้เข้าศึกษาสำเร็จชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ณ โรงเรียนประชาบาล อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ
      ต่อมาเมื่ออายุ ๑๙ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดหลวงสุมัลคลา ราม มีพระครูเกษตรศีลาจารย์ วัดหลวงสุมังคลารามเป็นพระอุปัชฌาย์ สอบได้
นักธรรมตรี นักธรรมโท ณ สำนักวัดเจียงอีศรีมงคลวราราม เมื่ออายุครบบวชได้ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระโต (วัดมหาพุทธาราม) มีพระครูกันทรารมย์ พิทักษ์
(พระครูบุญมา) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายาว่า อุสฺสาโห จำพรรษา ณ วัดเจียง อีศรีมงคลวรารามมาโดยตลอด ได้ศึกษาอ่านและเขียน อักษรไทยน้อย อักษรขอม
อักษรธรรม ซึ่งจารึกอยู่ในผูกคัมภีร์โบราณของอีสาน จนสามารถเข้าใจระเบียบ ทางภาษาโบราณเหล่านั้น และสามารถสอนถ่ายทอดแด่ลูกศิษย์ต่อมา ได้เรียน
โรงเรียนฝึกหัดครูจนสอบไล่ได้ ได้ช่วยงานเจ้าอาวาสและได้รับเลื่อนตำแหน่ง หน้าที่ไปตามลำดับ โดยเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเจียงอีศรีมงคลวราราม เป็น
เจ้าคณะอำเภอเมืองศรีสะเกษ เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ในปี พ .ศ. ๒๕๑๑ ก่อนจะเป็นเจ้าอาวาสวัดเจียงอีศรีมงคลวรารามในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ต่อมา
     สมณศักดิ์  เริ่มแต่ พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูเกษตรศีลา จารย์ แล้วได้เลื่อนไปตามลำดับจนในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ
ในราชทินนามที่พระเกษตรศีลาจารย์
     ผลงานด้านต่างๆ ได้แก่การก่อสร้างศาสนวัตถุ ศาสนสถานไว้มากมายเป็นต้น ว่า วิหารใหญ่ ขนาด ๑๖x๔๐ เมตร ซุ้มประตู ๓ แห่ง กำแพงล้อมรอบวัดทั้ง ๔
ด้าน กุฏิหมู่ทรงไทย ๑๕ หลัง สร้างวิหารทิศหน้าพระอุโบสถและหน้าพระวิหาร ใหญ่ จำนวน ๒ หลัง สร้างถังน้ำประปาและวางท่อประปาทั่ววัด เพื่อนำน้ำจาก
บ่อบาดาลซึ่งกรมธรณีวิทยาขุเจาะให้ สร้างกุฏิแบบเรือนไทย ๖ หลัง สร้างกุฏิ ตึก ๑ หลัง ทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก สร้างถนนภายในวัดรอบเขตพุทธาวาส
รอบพระอุโบสถ และพระวิหาร สร้างพระพุทธไสยาสน์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ สร้าง เมรุ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ สร้างหอพระไตรปิฎก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ สร้างกุฎิตึกสอง ชั้น
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ รวมสิ่งก่อสร้างสำคัญอื่นๆ เช่น พระมหากัจจายนสาวก พระสิวลีพุทธสาวก สระบัวคอนกรีตเสริมเหล็ก เป็นต้น
     พ.ศ.๒๕๒๕ สร้างที่พักสงฆ์ ที่บ้านหนองคู ตำบลหนองครก อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นวัดหนองคู
     ด้านการเผยแผ่ ที่สำคัญก็มีจัดตั้งสำนักงานยุวพุทธิกสมาคมจังหวัด ศรีสะเกษขึ้นที่วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม และแสดงธรรมเทศนาทางวิทยุกระจาย เสียง จ.ส. ๖
จังหวัดศรีสะเกษ เป็นประจำทุกวันธรรมสวนะ มีการจัดการอบรมประชาชนทุกวันธรรมสวนะและตลอดฤดูกาลเข้าพรรษา
     ด้านการศึกษา ที่สำคัญก็คือส่งเสริมการเรียนนักธรรมและบาลีของพระภิกษุ สามเณรวัดเจียงอีศรีมงคลวราราม เป็นครูสอนปริยัติธรรมประจำสำนักเรียน
วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม ดำเนินการจัดตั้งโรงเรียนและสร้างอาคารเรียน โรงเรียนปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม ชื่อว่า โรงเรียน
ศรีเกษตรวิทยา โดยเป็นผู้อำนวยการและเจ้าของโรงเรียนในฐานะนิติบุคคล ได้ อุทิศปัจจัยส่วนตัวสนับสนุนเป็นประจำปีๆ ละ ๔,๐๐๐ บาท ต่อมาได้ดำเนินการ
ก่อตั้งมูลนิธิบำรุงการศึกษาปริยัติธรรมประจำวัดเจียงอีศรีมงคลวรารามขึ้น เพื่อจัดหาทุนการศึกษาแก่ภิกษุสามเณร นักเรียนของโรงเรียนในสังกัด
วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม
     ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๐ สิริรวมอายุ ๗๒ ปี ๑๑ เดือน ตำแหน่งสูงสุดทางการปกครองขณะมรณภาพคือ เจ้าอาวาส
วัดเจียงอีศรีมงคลวรารามและรองเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ รูปที่ ๑









   
หลวงปู่มุม (พระครูปราสาธน์ขันธคุณ)
     หลวงปู่มุม เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดปราสาทเยอเหนือ อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ ท่านเป็นชาวเยอโดยกำเนิด
เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ ท่านดำรงเพศบรรพชิตตั้งแต่อายุได้ ๑๐ ปี โดยบรรพชาเป็นสามเณร พออายุครบ ๒๐ ปี
ได้อุปสมบทและอยู่ในสมณเพศไปตลอดชีวิต ท่านเป็นพระถือเคร่งทางธรรมปฏิบัติ โดยได้อุปนิสัยอุปัชฌาย์อาจารย์
น้อมไปในทางปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน ได้ฝึกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาในบริเวณเทือกเขาพนมดงเร็ก เขตจังหวัด
อีสานใต้มาตั้งแต่เป็นสามเณร ต่อมาเมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว เคยเดินธุดงค์เข้าไปในประเทศกัมพูชาและจำพรรษา
อยู่ในประเทศกัมพูชาหลายปี จนในระยะหลัง เมื่อพระกัมมัฏฐานแก่กล้า จึงได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดปราสาทเยอ
ซึ่งมีชนเผ่าเยอตั้งถิ่นฐานอยู่ มีซากปราสาทหินสมัยขอมอยู่ในวัดหนึ่งหลัง ซึ่งเป็นปราสาทขนาดเล็๋กๆและชำรุดมากแล้ว
ในปัจจุบันสภาพของปราสาทเยอมีให้เห็นเพียงเนินดินที่มีซากอิฐหินแลงทับถมเป็นกองสูง จากความมักน้อยสันโดษ
และการปฏิบัติเคร่งครัดในกิจวัตรสงฆ์ จึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชนทั่วไป และที่โด่งดังเป็นที่รู้จักของประชาชน
ทั่วประเทศก็คือความศรัทธาในวัตถุมงคลที่ท่านสร้างและทำพิธีปลุกเสกเอง ด้วยพิธีกรรมการพุทธาภิเษกแบบเขมร
โบราณ วัตถุมงคลที่มีชื่อว่า พระหลวงพ่อมุมนั้นเองที่มีพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศเดินทางมานมัสการและเช่าไปบูชา
กราบไหว้ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลนั้น
     ผลงานของหลวงปู่มุม ที่เด่นๆ เป็นผลงานด้านจิตใจ คือเป็นที่เคารพศรัทธาของปวงประชามหาชนด้วยจริยาวัตร
ที่สม่ำเสมอ มักน้อยสันโดษ ท่านเป็นพระที่พูดน้อย มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ วัตถุมงคลที่ท่านสร้างขึ้นจึงเปรียบเสมือน
เป็นตัวแทนของท่าน จึงได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วประเทศ ท่านยังมีผลงานการสร้างศาสนวัตถุไว้ในวัด
ปราสาทเยอมากมายหลายอย่าง นับแต่สร้างเสนาสนะที่จำเป็นในการทำสังฆกรรมของ หมู่สงฆ์ เช่น อุโบสถ ตลอดไปถึงเสนาสนะที่จำเป็นทุกอย่างคือ กุฏิ
หอระฆัง และกำแพงล้อมรอบวัดทั้ง ๔ ด้าน
     นอกจากนี้ ท่านยังมีวิสัยทัศน์กว้างขวาง มองการณ์ไกล โดยได้เห็นคุณค่า ของการศึกษา ได้ให้การสนับสนุนด้านการบริหารและการเงินแก่โรงเรียนต่างๆ
ในเขตใกล้เคียงอยู่ตลอดมา ท่านเคยเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดบ้านประอาง และ โรงเรียนบ้านปราสาทเยอ อยู่ระยะแรกๆ ของการจัดตั้งโรงเรียนทั้งสองนี้
และต่อมาก็เป็นองค์อุปัฏฐากของโรงเรียนมาโดยตลอดและในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ด้วยคุณงามความดีของท่านจึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถวายพระกฐินต้น ที่วัดบ้านปราสาทเยอเหนือ และทรงสร้างศาลา ภปร. ถวายแก่หลวงปู่มุมด้วย
     หลวงปู่มุม มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ สิริรวมอายุได้ ๙๓ ปี
 
หลวงปู่เครื่อง สุภทฺโท


     
หลวงปู่เครื่อง สุภทฺโท เกิดเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ เป็นบุตรของ นายสอน นางยม ประถมบุตร มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๑๔ คน ท่านเป็น
บุตรคนที่ ๔  ภูมิลำเนาเดิมอยู่บ้านค้อ ตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวัยเด็กท่านมีอุปสรรคทางการศึกษามาก จึงได้เรียน
หนังสือไทย ประถม  ก.กา  เพียงชั้นประถม ๒  และช่วยครอบครัวทำนามาจนถึงอายุ ได้ ๒๑ ปี  จึงอุปสมบทที่วัดสำโรงน้อย  ตำบลหนองกว้าง  อำเภอ
อุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีะเกษ พระครูเทวราชกวิวรญาณ เป็นพระอุปัชฌาย ์พระอาจารย์ใบฎีกาชม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์พรหมมา
เป็นพระอนุสาสนาจารย์ ได้รับฉายา สุภฺทโท มีความหมายว่า ผู้ประพฤติงาม
     หลังเข้าพิธีอุปสมบทเพียง ๒ สัปดาห์ โยมมารดาได้ล้มป่วยหนักและเสียชีวิตลง ทำให้ท่านต้องช่วยเป็นธุระจัดการงานศพมารดาเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนไปอยู่จำพรรษาวัดบ้านค้อ ตำบลกำแพง ผ่านพ้นวันออกพรรษา บรรดาญาติพี่น้องได้มาเกลี้ยกล่อมให้ท่านลาสิกขา แต่ท่านเกิดความเบื่อหน่าย
ในชีวิตปุถุชน ตั้งใจอุทิศชีวิตให้บวรพระพุทธศาสนา แสวงหาทางหลุดพ้นทุกข์ ต่อมา ท่านตัดสินใจเดินทางไปวัดทุ่งไชย เพื่อไปศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์
มูลกัจจายน์ เป็นเวลา ๒ เดือน ก่อนเดินทางต่อไปที่วัดบ้านยางใหญ่ ตำบลเมืองแคน อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ฝากตัวเป็นศิษย์กับ พระอุปัชฌาย์
สายเจ้าอาวาส เพื่อขอเรียนบาลีและคัมภีร์มูลกัจจายน์ พระอุปัชฌาย์สาย เอ็นดูลูกศิษย์คนนี้มาก ด้วยผลการเรียนเป็นที่น่าพอใจ ท่านเรียนได้ดี ทั้งใน
การแปลภาษาบาลีเป็นประโยคคล่องแคล่ว และใส่สัมพันธ์ด้วย เริ่มตั้งแต่การสนธิ เป็นต้นไป หลังจากนั้นได้กราบนมัสการ ลาท่านอาจารย์ไปเรียนบาลี
ไวยากรณ์ ที่วัดหลวงเมืองอุบล จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกับเรียนนักธรรมชั้นโทด้วย ครั้งอยู่มา ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๑ ท่านได้ดำรง
ตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพงษ์พรต ตำบลหนองกว้าง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
     ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดพงษ์พรตต่อมาไม่นาน ก็ได้ดำริว่า คันถธุระไม่เป็น ของพ้นทุกข์ มีแต่ธรรมปฏิบัติเท่านั้น จึงออกเดินทางไปศึกษาด้าน
สมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน ทราบว่าท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ จำพรรษาอยู่จังหวัดอุบลราชธานี  จึงออกเดินทางไปพบท่าน ได้ฝากตัวเป็นศิษย์
ศึกษาพื้นฐานงานวิปัสสนากัมมัฏฐาน กับท่านอยู่ระยะหนึ่ง  ต่อมาจึงได้กลับมาอุทุมพรพิสัยอีกครั้ง และจำวัดที่ วัดสระกำแพงใหญ่  ขณะนั้นมี
พระอุปัชฌาย์คำเป็นเจ้าอาวาส กำลังร่วมกันสร้างสาธารณูปโภคอยู่หลายอย่าง เป็นเหตุให้ญาติโยมได้โอกาส อาราธนานิมนต์ให้อยู่เป็นแรงงาน
สำคัญ  มีการสร้างรอยพระพุทธบาทจำลอง  วิหารลอย ที่ว่าการอำเภออุทุมพรพิสัย  สถานีตำรวจ และสถานีอนามัย  โดยมีนายพวง สีบุญลือ
นายอำเภออุทุมพรพิสัยขณะนั้น เป็น แม่แรงใหญ่ฝ่ายฆราวาส จนกระทั่งที่ว่าการอำเภออุทุมพรพิสัย และสิ่งก่อสร้างดังกล่าวเสร็จสิ้นลง
ทางอำเภอและประชาชนได้จัดงานฉลองขึ้นใหญ่โตโด่งดังไปทั่ว  ส่วนท่านเองยังต้องการแสวงหาทางด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน ต้องการศึกษา
ในชั้นสูงสุดต่อไป
     พอเสร็จงานฉลองจึงบอกลาญาติโยมออกเดินธุดงค์ไปจังหวัดลพบุรี ได้พักที่ สำนักหลวงปู่คำมี พุทฺธสโร เพื่อศึกษาธรรมปฏิบัติได้สมาทาน
ธุดงควัตร ถือกัมมัฏฐาน ทำสมาธิ ได้รับรสธรรมจากหลวงปู่คำมี ปลื้มอกปลื้ม ใจ ปีติเยือกเย็น และสงบใจลงไปมาก หลังจากนั้นก็ได้เดินธุดงค์
ไปยังจังหวัดต่างๆ เมื่อไปถึงวัดป่าสระพง อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา สมาทานธุดงควัตรแล้วเดินทางไปยังถ้ำสบม่วง (ซับมืด) อำเภอ
ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา  ซึ่งเป็นถ้ำมีอากาศ หนาวเย็นอยู่ในเขาและป่าทึบ พร้อมกับเพื่อนพรหมจรรย์อีก ๕ รูป ได้อยู่บำเพ็ญกัมมัฏฐาน
ภายในถ้ำนั้นหลายเดือน จึงเกิดเป็นไข้ป่าทุกรูป รักษาไม่หายถึงกับมรณภาพลง ในถ้ำนั้นไป ๓ รูป หลวงปู่เครื่องกับเพื่อน อีกรูปแยกทางกันไป
ท่านเองปีนเขาขึ้นมาตามเถาวัลย์ ไปพบฝรั่งที่ควบคุมงานก่อสร้างถนนมิตรภาพ อยู่ขณะนั้น ได้ยามา ๖ เม็ด กินก็หายป่วย จากนี้ได้เดินธุดงค์ ไปจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ไปแห่งใดก็มีญาติโยมพุทธบริษัทให้การ ต้อนรับอย่างคับคั่ง นำข้าวปลาอาหาร มาทำบุญมากมาย แต่ท่าน
ก็ไม่ติดที่อยู่ เดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๔ เดินทางเข้า กรุงเทพไปขอเรียนวิชาธรรมกายจาก หลวงพ่อเจ้าคุณพระเทพมงคลมุนี
วัดปากน้ำ อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี ตั้งใจทำสมาธิประพฤติแนววิชาธรรมกายอยู่ ๓ วัน ก็อำลาจากไป เจ้าคุณพระเทพมงคลมุนีถึงกับ
ประกาศในหมู่ศิษย์ของท่านว่า หลวงปู่เครื่องได้บรรลุวิชาธรรมกายแล้วอำลาจาก ไป จากนั้นท่านก็ตั้งใจปฏิบัติสมาธิกัมมัฏฐานตามป่า ถ้ำ ภูเขา
อีกหลายแห่งด้วยความมุ่งมั่นมานะพยายามอย่างเต็มที่ ได้พบภาพนิมิตต่างๆ มากมาย เป็นงูบ้าง เป็นเสือ เป็นช้าง จะเข้ามาทำร้ายภาพนิมิต
ประหลาดๆ พิกลพิการไม่เคยเห็น มาก่อน แต่ท่านไม่กลัวไม่หวาดหวั่น  ควบคุมสติพิจารณา พยายามตีความด้วยปัญญา สามารถรู้ไปถึง
อริยสัจธรรมแก่นแท้ได้   
     ตราบถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ท่านจึงเดินทางกลับมาตุภูมิอีกครั้ง และได้รับ อาราธนาให้อยู่ที่วัดสระกำแพงใหญ่ ต่อมาท่านก็รับเป็นเจ้าอาวาสตลอดมา
จนถึงปัจจุบันนี้
     ผลการศึกษาในระหว่างที่ท่านอุปสมบท
     พ.ศ.๒๔๗๗ เดินทางไปอยู่วัดหลวงเมืองอุบล จังหวัดอุบลราชธานี ได้ศึกษาบาลีไวยากรณ์ พร้อมกับเรียนนักธรรมชั้นโทด้วย
     พ.ศ.๒๔๗๙ สอบได้นักธรรมชั้นตรี
     พ.ศ.๒๔๘๐ สอบได้นักธรรมชั้นโท
     พ.ศ.๒๔๘๓ สอบได้นักธรรมชั้นเอก
    งานปกครอง
        พ.ศ.๒๔๘๐ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย
     พ.ศ.๒๔๘๑ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดพงษ์พรต ตำบลหนองกว้าง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเวลา ๑๑ ปี
     พ.ศ.๒๔๘๖ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจข้อสอบประโยคนักธรรมชั้นตรี
     พ.ศ.๒๔๘๘ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคณาธิการ องค์การศึกษา อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ.๒๔๙๐ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
     พ.ศ.๒๔๙๔ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดสระกำแพงใหญ่ จนถึงปัจจุบัน
     ผลงานของหลวงปู่เครื่องที่ได้ปฏิบัติมาโดยย่อ 
     ผลงานด้านการสร้างถาวรวัตถุ
     พ.ศ.๒๕๓๐ โครงการก่อสร้างตึกผู้ป่วย "ตึกหลวงปู่เครื่อง สุภทฺโท" เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ครบ ๕ รอบ โรงพยาบาลอุทุมพรพิสัย
     พ.ศ.๒๕๓๖ สร้างพระประธานและห้องเรียนนักเรียนอนุบาลมอบให้โรงเรียนบ้านค้อ ตำบลสระกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ.๒๕๓๘ สร้างถนนลาดยาง สายทิศเหนือวัด จากบ้านกำแพงถึงตลาดอุทุมพรพิสัย โดยของบประมาณสนับสนุนจากแขวงการทาง
จังหวัดอุบลราชธานี
     พ.ศ.๒๕๓๙ สร้างศาลาเฉลิมพระเกียรติครองราชย์ ครบ ๕๐ ปี ให้สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ.๒๕๔๐ สร้างพระประธานพร้อมหอพระ มอบให้โรงเรียนบ้านหนองห้าง ตำบลหนองห้าง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ.๒๕๔๑ สร้างมณฑปประดิษฐานหลวงพ่อนาคปรกโบราณ
     ผลงานด้านการส่งเสริมการศึกษา
     พ.ศ.๒๔๗๙ ได้จัดตั้งโรงเรียนสอนทางปริยัติธรรม นักธรรมชั้นตรี โท เอก และบาลีไวยากรณ์ขึ้นที่วัดพงศ์พรต และได้ก่อสร้างกุฎิ ศาลา
การเปรียญ โบสถ์ หอระฆังจนเสร็จเรียบร้อย และได้สร้างบ่อน้ำขนาดใหญ่ ก่อ ด้วยอิฐหน้าวัวไม่ต้องใช้ปูนซีเมนต์ให้ชาวบ้านได้ดื่มและใช้อยู่
เท่าทุกวันนี้
     พ.ศ.๒๕๑๒ ได้จัดตั้งโรงเรียนพุทธมามกะเยาวชน
     พ.ศ.๒๕๑๕ ได้จัดตั้งโรงเรียนผู้ใหญ่ขึ้น สำหรับพระภิกษุสามเณรสอนระดับ ๓-๔
     พ.ศ.๒๕๓๘ สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา
     พ.ศ.๒๕๔๑ สร้างโรงเรียนสระกำแพงวิทยาคม เป็นอาคาร ๒ ชั้น พร้อมอุปกรณ์
     พ.ศ.๒๕๔๒ สร้างโรงเรียนพงษ์พรต อาคาร ๒ ชั้น ที่ตำบลหนองกว้าง
     พ.ศ.๒๕๔๔ สร้างห้องสมุดโรงเรียนบ้านหนองหมู อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ.๒๕๔๖ เป็นประธานก่อสร้างมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษาสำหรับพระภิกษุสงฆ์ แห่งแรกในจังหวัดศรีสะเกษ ด้วยการซื้อที่ดินและก่อสร้างบริเวณบ้านสระกำแพงใหญ่ ต.สระกำแพง อ.อุทุมพรพิสัย
     ขณะเดียวกัน หลวงปู่เครื่องได้ทำนุบำรุงพัฒนาวัดให้เจริญก้าวหน้า ด้วยถาวรวัตถุสิ่งก่อสร้างภายในวัดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกุฏิ วิหาร ศาลา
การเปรียญ เมรุ กำแพงวัด ซุ้มประตู ฯลฯ
     วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่เครื่อง คณะศิษยานุศิษย์ทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักการเมือง พ่อค้า ประชาชน ที่ให้ความเคารพและศรัทธาหลวงปู่อย่างแรงกล้านับแสนคน จะพากันเดินทางไปวัดสระกำแพงใหญ่ เพื่อร่วมกันอวยพรวันคล้ายวันเกิดและ
ขอพรอันเป็นสิริมงคลไม่เคยขาด กระทั่งกลายเป็นงานใหญ่ แม้ว่าหลวงปู่จะไม่ต้องการให้จัดเอิกเกริกใหญ่โต แต่ปฏิเสธศรัทธาของบรรดา
คณะศิษยานุศิษย์มิได้
     หลวงปู่เครื่อง ท่านเป็นพระสงฆ์ผู้ถือสันโดษ ไม่ยินดีในตำแหน่งและสมณศักดิ์สงฆ์ แม้ท่านจะได้รับการเสนอให้เป็น ท่านก็ไม่ยอมรับ
คุณความดีของท่านเป็นที่นิยมเลื่อมใสศรัทธา เห็นจากความนิยมในวัตถุมงคลของ ท่าน ที่มีส่วนเสริมสร้างเป็นทุนในงานก่อสร้างต่างๆ ใน
วัดสระกำแพงใหญ่ และสาธารณูปการต่างๆ




   
พระเทพวรมุนี (วิบูลย์ กลฺยาโณ)



     พระเทพวรมุนี(วิบูลย์ กลฺยาโณ) ท่านเกิดในตระกูลชาวนา ณ บ้านหนองกุง อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่
ที่เป็น พหูสูต รอบรู้ในหลักวิชาการต่างๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม มีผลงานด้านการพูดการเขียนมาก จนได้สมญาจากหมู่สงฆ์อีสานว่า
" ปราชญ์แห่งอีสานใต้" ท่านอยู่ในเพศพรหมจรรย์ถือบวชมาตั้งแต่ยังเล็ก และอุทิศตนเพื่องานมาโดยตลอด จนถือคติพจน์ประจำตัวว่า
งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดเจียงอีศรีมงคลวรารามและเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ
     ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีกุน นามสกุลเดิม บุญพอ บิดาชื่อ นาย สีห์ มารดาชื่อ
นางบัวคำ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๘ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๔ สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่โรงเรียนประชาบาล
วัดบ้านหนองกุง อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ ต่อมาบิดาเสียชีวิต จึงบวชอุทิศส่วนกุศลให้บิดา แล้วอยู่ในเพศบรรพชิตตั้งแต่นั้นมา
     พ.ศ. ๒๔๙๒ เมื่ออายุ ๑๔ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ที่วัดม่วงเป ตำบลหนองกุง อำเภอโนนคูณ
จังหวัดศรีสะเกษ โดย เจ้าอธิการอ้วน โสภโภ (พระครูโสภณคุณากร) วัดโนนค้อ ตำบลโนนค้อ อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ เป็น
พระอุปัชฌาย์ ต่อมาย้ายมาเรียนนักธรรมที่วัดมหาพุทธาราม(วัดพระโต) อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ได้เป็นสามเณรอุปัฏฐากใกล้ชิด
เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษคือพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร) ขณะที่เพิ่งเป็น เจ้าคณะจังหวัดได้เพียง ๒ ปี ยังเป็นพระมหาเสน ปญฺญาวชิโร
อยู่ จึงได้เรียนรู้งานคณะสงฆ์มาตามลำดับ
     พ.ศ. ๒๔๙๓-๒๔๙๖ ได้นักธรรมชั้นตรี นักธรรมชั้นโท และนักธรรมชั้นเอก ตามลำดับจากสำนักศาสนศึกษา วัดมหาพุทธาราม อำเภอเมือง
จังหวัดศรีสะเกษ หลังจากนั้นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ได้ฝากฝังพระเถระผู้ใหญ่ให้ไปจำพรรษาที่วัดสวนพลู กรุงเทพมหานคร ได้รับการ
อุปสมบทที่วัดนั้น เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๘ โดยมีพระครูสังฆวิธาน(จ้าอาวาสวัดสวนพลู) วัดสวนพลู แขวงสุรวงศ์ เขตบางรัก
กรุงเทพมหานคร เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า กลฺยาโณ
     พ.ศ. ๒๔๙๙ สอบได้ ป.ธ. ๓ ณ สำนักเรียนวัดมหาพฤฒาราม แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร
     พ.ศ. ๒๕๐๐-๒๕๐๗ เป็นนิสิตคณะพุทธศาสตร์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และได้สมัครสอบครู ได้วุฒิทางครู คือ วุฒิครู พ และ
วุฒิ พ.ป. ตามลำดับ ระหว่างนี้มีความสนใจงานหนังสือพิมพ์ เป็นสาราณียกร ออกหนังสือพิมพ์รายคาบที่มหามกุฏราชวิทยาลัย สนใจติดตาม
ฟังปาฐกถาของบุคคลสำคัญ อาทิ ปัญญานันทะภิกขุ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ อาจารย์เสฐียร พันธรังษี ชอบอ่านหนังสือ
ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นชีวิตจิตใจ
    การคืนกลับมาตุภูมิ เหตุให้ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน เนื่องมาจากในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ วัดบ้านพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ
ว่างเจ้าอาวาส พระครูสิริกันทราลักษ์ เจ้าคณะอำเภอขุนหาญขณะนั้น เห็นว่า พระเทพวรมุนี(วิบูลย์ กลฺยาโณ) เป็นผู้ที่มีความเหมาะสม
จะพัฒนาวัดใหญ่แห่งนี้ให้เจริญได้ จึงขอร้องให้ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านพราน ก่อนเข้าพรรษาเพียง ๗ วัน ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มต้น
ชีวิตการทำงานส่วนรวมโดยตลอดมา
     งานปกครอง
     พ.ศ. ๒๕๐๙-๒๕๓๒ เป็นเจ้าอาวาสวัดสุพรรณรัตน์ ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ. ๒๕๑๑-๒๕๑๘ เป็นรองเจ้าคณะอำเภอขุนหาญ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ. ๒๕๑๕-ปัจจุบัน เป็นพระอุปัชฌาย์
     พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๒๕ เป็นเจ้าคณะอำเภอขุนหาญ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๓๕ เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ. ๒๕๓๑-๒๕๓๒ เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าคณะอำเภอโนนคูณ
     พ.ศ. ๒๕๓๒-ปัจจุบัน เป็นเจ้าอาวาสวัดเจียงอีศรีมงคลวราราม
     พ.ศ. ๒๕๓๓-๒๕๓๔ เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าคณะอำเภอศรีรัตนะ อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ. ๒๕๓๔-๒๕๓๕ เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าคณะอำเภอยางชุมน้อย อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ. ๒๕๓๕-๒๕๓๖ เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ. ๒๕๓๖-ปัจจุบัน เป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ. ๒๕๓๗-๒๕๓๘ เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ
     สมณศักดิ์
     พ.ศ. ๒๕๑๓ ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะอำเภอชั้นโท ในราชทินนามที่ "พระครูวิจิตรธรรมวาที"
     พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
     พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามที่ "พระวิบูลธรรมวาที"
     พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ "พระราชวรรณเวที"
     พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ "พระเทพวรมุนี"
ผลงานเด่นของท่าน
     เริ่มตั้งแต่เมื่อเข้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุพรรณ รัตน์ บ้านพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นวัดในชนบทห่างไกลความ เจริญ
 ท่านได้พัฒนาวัดนั้นขึ้นตั้งแต่สภาพวัดยังขรุขระเป็นแผ่นดินลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ ตราบกระทั่งกลายเป็นวัดใหญ่ที่งดงาม เป็นพระอารามทาง
พระพุทธศาสนา ที่น่าเยี่ยมเยียน น่าอยู่น่าประพฤติธรรมและเป็นศูนย์การอบรมวิทยากรและประชาชนตามโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง
ของคณะสงฆ์ศรีสะเกษในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเจียงอีศรีมงคลวราราม พระอารามหลวงแล้ว มีผลงานต่อมา
ดังนี้
     พ.ศ. ๒๕๓๒ บูรณะซ่อมแซมกุฏิเจ้าอาวาสวัดเจียงอีศรีมงคลวราราม โดยทำโครงหลังคาใหม่ให้เป็นแบบทรงไทย และสร้างถังน้ำประปา
บาดาล
     พ.ศ. ๒๕๓๓ สร้างกุฏิวัดเจียงอีศรีมงคลวราราม เป็นอาคาร ๒ ชั้น ด้วย คอนกรีตเสริมเหล็ก ชั้นล่างใช้เป็นที่ฉัน ชั้นบนใช้เป็นห้องพักรับรอง
และที่ทำงาน ขนาด ๗x๑๑ เมตร
     พ.ศ. ๒๕๓๖ สร้างต่อเติมหอประชุมโรงเรียนศรีเกษตรวิทยา กุฏิโรงครัว ห้องน้ำ ห้องสุขา ๑๐ ห้อง ที่วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม
     ด้านการศึกษา
     นอกจากนี้ยังมีผลงานด้านการศึกษาอีกจำนวนมาก  เช่น เป็นครูสอนปริยัติธรรม เป็นกรรมการ/ประธานกรรมการสอบต่างๆ เป็นเจ้าของ
และผู้จัดการโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา "โรงเรียนศรีเกษตรวิทยา"  เป็นเจ้าสำนักเรียนคณะจังหวัดศรีสะเกษและ
เป็นผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม เป็๋นต้น
     ด้านการเผยแผ่
     มีผลงานที่เด่นก็คือ เป็นองค์ปาฐกที่มีภูมิรู้และวิสัยทัศน์ที่กว้าง ขวาง สามารถแสดงธรรมให้เข้าใจง่ายทั้งเรื่องโลกและธรรม เป็นผู้
เชี่ยวชาญทางกฎหมายการคณะสงฆ์ จัดพิมพ์เอกสารทางธรรมะ บทความ บทวิจารย์สถานการณ์สงฆ์และบ้านเมืองที่เกี่ยวข้องออกแจกจ่าย
ปีหนึ่งๆ มากมาย เป็นวิทยากรบรรยายธรรมในการประชุมสัมมนาต่างๆ ทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด เป็นหัวหน้าพระธรรมทูตฝ่าย
ปฏิบัติการ ทั้งระดับอำเภอและระดับจังหวัด ในด้านประวัติศาสตร์ เป็นผู้ริเริ่มและประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ
นายจิโรจน์ โชติพันธุ์ ขณะนั้น ให้มีการศึกษาวิจัยด้านประวัติศาสตร์ศรีสะเกษ เพื่อให้ได้หลักฐานที่อ้างอิงแน่นอนเกี่ยวกับความเป็นไป
ของจังหวัดศรีสะเกษ จนได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการทำการศึกษาประวัติศาสตร์ศรีสะเกษขึ้นมา โดยท่านเองได้อุปการะการดำเนินงาน
และเป็นประธานคณะบรรณาธิการหนังสือเล่มนี้ ตราบสำเร็จเป็นรูปเล่มออกมาเป็นเอกสารวิจัยที่มีความเชื่อถือได้ตามหลักวิชาการ
ว่าด้วยการวิจัยออกมาเล่มหนึ่งคือ ประวัติศาสตร์จังหวัดศรีสะเกษ ฉบับสมบูรณ์ ในด้านการเขียนบทความที่สำคัญก็เกี่ยวกับการพัฒนา
บทความเกี่ยวกับหลักยุทธศาสตร์การพัฒนาความเจริญของอีสาน ของท่านก็คือ โครงการอีสานเขียว ศูนย์ ค.ว.ร.? ซึ่งเป็นแนวข้อคิด
อันเพียบพร้อมด้วยเหตุผลทางโลกธรรมและทางธรรมะที่เสนอต่อวงการต่างๆ สถาบันและประชาชนอีสานในวงกว้างขวาง และเนื่องด้วย
ความคิดอ่านที่ก้าวหน้ามีวิสัยทัศน์กว้างไกล ที่แสดงออกโดยบทความและข้อเขียนทางวิชาการของท่านนี้ จึงมักนำท่านไปใกล้ชิดบุคคล
สำคัญระดับชาติ ผู้บริหารระดับนโยบาย ไม่ว่าทางการเมืองหรือการปกครองท้องถิ่น โดยตลอดมา
     โล่และเกียรติคุณที่ได้รับ ผลงานด้านอื่นที่สร้างเกียรติคุณน่าภาคภูมิใจ มีดังนี้
     พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้รับพระราชทานตาลปัตร ย่าม ผ้าไตร และเหรียญเกียรติยศ จากสมเด็จพระสังฆราชในนามเจ้าอาวาสวัดสุพรรณรัตน์
(วัดบ้านพราน) ที่กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศยกย่องเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างดีเด่น
     พ.ศ. ๒๕๓๖ ได้รับพระราชทานโล่เสมาธรรมจักรและเกียรติบัตรจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่มณฑลพิธี
ท้องสนามหลวง ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา สาขาส่งเสริมกิจการคณะสงฆ์
     พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้รับคัดเลือกจากกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการไปศึกษาดูงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
     พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้รับพระราชทานปริญญาบัตร "ครุศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารการศึกษา" จากสถาบันราชภัฏสุรินทร์ และ
รางวัลผู้ให้การสนับสนุนส่งเสริมอนุรักษ์วัฒนธรรมจากสภาวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษร่วมกับคณะกรรมการประสานงานเพื่อพัฒนา
จังหวัดสรีสะเกษ(คปศ.)
     พ.ศ. ๒๕๔๔ ได้รับโล่เกียรติยศจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในฐานะเป็นวิทยากรพิเศษในการอภิปรายประชุมอบรม
พระนิสิตบัณฑิตพุทธศาสตร์ที่จะออกไปปฏิบัติศาสนกิจก่อนรับปริญญาติดต่อกันหลายปี
     พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้รับพระราชทานปริญญาบัตร"ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา"จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง
    ท่านมีชื่อเสียงโดยทั่วไปว่าเป็นองค์ปาฐกฝีปากเอกที่ได้รับนิมนต์ไป เทศน์และแสดงปาฐกถาในโอกาส ต่างๆ มากมายไม่เว้นว่าง ทั้งใน
จังหวัดศรีสะเกษ ภาคอีสาน และจังหวัดอื่นทั่วประเทศ นอกจากนี้ท่านยังเป็นนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา ที่มีผลงานเป็นบทความทาง
วิชาการตีพิมพ์ในหนังสือส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นไว้มาก โดยใช้นามจริงและนามปากกา เช่น มหากุญชร ธรรมวาที วิบูลธรรม วิบูลรัตน์
กัลยาณวัตร เป็นต้น
    ในปัจจุบัน นับได้ว่าพระเทพวรมุนี(วิบูลย์ กฺลยาโณ) เป็นพระผู้มีผลงานดีเด่น รอบรู้ในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างดี จนได้รับการยกย่องว่าเป็น
ปราชญ์ท้องถิ่นของจังหวัดศรีสะเกษ




พระราชวราลังการ (เที่ยง ปภาโส)
     พระราชวราลังการ (เที่ยง ปภาโส) เกิดในตระกูลชาวนา นามเดิม ว่า เที่ยง นามสกุล อำไพ เกิดเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ตรงกับวัน จันทร์
ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๙ ปีขาล ที่บ้านหนองไฮ หมู่ที่ ๒ ตำบลหนองไฮ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ บิดาชื่อ นายอ่อน อำไพ มารดาชื่อนางแก่น อำไพ
(สกุลเดิม นาคเสน)  เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง ๗ คน
     การศึกษาทางโลก จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนประชาบาลบ้านหนองไฮ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบันคือโรงเรียน
จินดาวิทยาคาร ๓  นอกจากนี้ท่านยังใฝ่ในการศึกษาพิเศษ โดยได้เข้าเรียนในชั้นเตรียมมหามกุฏราชวิทยาลัย จนจบหลักสูตร รุ่น ๒๒
     ชีวิตทางธรรม บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ ๑๗ ปี ที่วัดบ้านหนองไฮ โดยมีพระอธิการเหลือเป็นพระอุปัชฌาย์ อายุ ๑๙ ปี ได้ทำพิธีญัตติเป็น
สามเณรฝ่ายธรรมยุตที่วัดหลวงสุมังคลาราม โดยมีเจ้าคุณพระญาณวิเศษ (ดาว ญาณฺธโร) เป็นองค์อุปัชฌาย์ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ อุโบสถ
วัดสัมพันธวงศ์ อำเภอสัมพันธวงศ์ จังหวัดพระนคร โดยมีเจ้าคุณพระรัชมังคลมุนี เจ้าคณะจังหวัดธนบุรีเป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วได้จำพรรษา
ที่วัดบางขวาง ตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมือง  จังหวัดนนทบุรี และได้ไปเรียนนักธรรมบาลี ที่สำนักวัดบวรนิเวศวิหาร จนได้นักธรรมเอก และ
ได้เปรียญธรรม ๗ ประโยคที่สำนักเรียนนี้
     งานปกครองและสมณศักดิ์
     พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองศรีสะเกษ
     พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระญาณวิเศษ
     พ.ศ. ๒๕๓๑ เจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดหลวงสุมังคลาราม
     พ.ศ. ๒๕๓๘ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ(ธ.)
     พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ(ธ.)
     พ.ศ. ๒๕๔๑ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่พระราชวราลังการ
     ผลงานและประวัติการงาน ชีวิตการงานของท่านเริ่มขึ้นภายหลังสำเร็จการศึกษานักธรรมเอก ได้เริ่มรับใช้พระพุทธศาสนาที่วัดบางขวาง
อยู่หลายปี  โดยเป็นครูสอนประจำสำนักเรียนวัดแห่งนั้นนาน ๔ ปี และได้รับ แต่งตั้งเป็นอาจารย์ใหญ่สำนักเรียนวัดบางขวาง ซึ่งในระหว่างนี้
คณะสงฆ์จังหวัดนนทบุรี ได้ให้ความไว้วางใจแต่งตั้งท่านเป็นพระสังฆาธิการ โดยเป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองนนทบุรี(ธ.) ด้วย จากนี้ไปอีกเป็น
เวลา ๖ ปี ตรงกับ พ.ศ. ๒๕๒๗ ท่านจึงได้ เดินทางกลับมาตุภูมิ และจำพรรษาอยู่ ณ  วัดหลวงสุมังคลาราม แล้วได้รับความไว้วางใจให้เป็น
เจ้าสำนักเรียนวัดหลวงสุมังคลาราม ต่อมาได้เป็นเจ้าของผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนวัดหลวงวิทยาซึ่งเป็นโรงเรียนการกุศลของวัดใน
พระพุทธศาสนา  และที่สุดท่านได้ตำแหน่งทางการปกครอง เริ่มตั้งแต่วันย้ายกลับสู่ ภูมิลำเนา โดยดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเมืองศรีสะเกษ-
กันทรลักษ์-ขุนหาญ(ธ.) ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ต่อมาเป็นรองเจ้าอาวาสวัดหลวงสุมังคลาราม และเป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงสุมังคลาราม เป็นผู้
รักษาการแทนเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษและพ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ(ธ.)  ท่านมีสมณศักดิ์สูงสุดเป็นพระราชวราลังการ
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑
     พระราชวราลังการ (เที่ยง ปภาโส) มรณภาพ เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๖ รวมสิริอายุ ๖๔ ปี ๗ เดือน ๔๔ พรรษา




หลวงปู่ธัมมา พิทักษา
    
    หลวงปู่ธัมมา พิทักษา ท่านเป็นลูกชาว นา บ้านสร้างเรือง ตำบลหญ้าปล้อง อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ เดิมชื่อธัม มา นางสกุล พิทักษา ภายหลัง
อุปสมบท ได้ชื่อและฉายาว่าพระธัมมา จิตตปญฺโญ แต่ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกชื่อ หลวงปู่ธัมมา พิทักษา เป็นพระนักเทศน์ ที่มีโวหารง่ายๆ
 แบบชาวบ้าน ผลงานการ เผยแผ่ปรากฏทางวิทยุกระจายเสียงเป็นที่แพร่หลายในพุทธบริษัททั่วไป ผลงานหนังสือก็มีหลายเล่ม เช่น หลวงปู่(งั่ง)
 บอกใบ้ สนใจบ้างหรือเปล่า พระหรือโยมโง่ก็ไม่รู้นะ เป็นต้น หลวงปู้ได้สมณศักดิ์ เป็น พระครูวิบูลธรรมภาณ ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดอมร-
ทายิการาม(วัดใหญ่ยายมอญ) บางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี  กรุงเทพมหานคร
     ผลงานที่สำคัญ  หลวงปู่ธัมมา พิทักษา เป็นผู้มีจิตใจละเอียดอ่อน มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่โอ้อวด ท่านสอบนักธรรมบาลีได้ แต่แทบ
ไม่มีใครรู้จักว่าท่านเป็นพระมหาธัมมา มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ และบ้าน เกิดเมืองนอนเป็นอย่างสูง ด้วยเหตุนี้แม้จะได้จากบ้านเกิดไปอยู่
กรุงเทพมหานคร โดยเป็นเจ้าอาวาส วัดใหม่ยายมอญ ก็ยังได้ขวนขวาย นำผู้ศรัทธามาร่วมก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคต่างๆ ผลงานที่เด่นก็คือ
มีศรัทธาสร้างสถานีอนามัยบ้านสร้างเรือง  และในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้เริ่มงานการก่อสร้างศาสนวัตถุที่สำคัญชิ้นหนึ่งของ จังหวัดศรีสะเกษ คือ
งานก่อสร้างพระธาตุเรืองรอง บนฐานกว้าง ๓๐x๓๐ เมตร สูง ๔๓.๖๐ เมตร มี ๕ ชั้น จนแล้วเสร็จลงในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ จัดเป็นศาสนสถานที่ สำคัญและเป็นที่ท่องเที่ยว ไปสักการะของชาวพุทธแห่งหนึ่งของจังหวัดศรีสะเกษ     ผลงานอื่นๆ มีอีกมากมาย รวมทั้งการสนับสนุนการจัดตั้ง
มูลนิธิการกุศลต่างๆ เป็นประจำ การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์อนุเคราะห์ผู้ยากไร้ นำพระพุทธรูป หนังสือ ถ้วยจาน ทุนการศึกษา และอุปกรณ์อื่นๆ
 แก่ วัด โรงเรียน ชุมชนต่างๆ เป็นประจำทุกปี





พระมหาธีรังกูร ธีรงฺกุโร ป.ธ.๙
     พระมหาธีรังกูร ธีรงฺกุโร เจ้าอาวาสวัดมหาพุทธารามองค์ปัจจุบัน นาม เดิมธีรังกูร นามสกุล มูลพันธ์ ชาติภูมิ บ้านละอาง หมู่ ๕ ตำบลแข้ อำเภอ
อุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เกิดวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ตรงกับวัน ศุกร์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๖ ปีชวด บิดา นายเพียร มารดา นางทองมา
เมื่อเรียนจบชั้นประถม บริบูรณ์แล้วได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ณ วัดบ้านแข้ ตำบลแข ้ อำเภออุทุมพรพิสัย
จังหวัดศรีสะเกษ นามพระอุปัชฌาย์ พระครูอาคมวิริยกิจ วัดสำโรงใหญ่ ตำบลสำโรงใหญ่ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
     การเดินทางและการศึกษาในต่างถิ่น ภายหลังเป็นสามเณรแล้วได้เดินทางจากภูมิลำเนาไปศึกษาพระปริยัติธรรมและการศึกษาระดับอุดมศึกษา
ในเมืองหลวง เมื่ออายุครบบวชได้อุปสมบท ณ วัดโพธิ์ราษฎร์ ตำบลบางเจ้า ฉ่า อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๑
 พระครูจันทรโพธิคุณ วัดโพธิ์เกรียบ ตำบลบางพลับ อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัด อ่างทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมที่จังหวัดอ่างทอง
 จนได้วิทยฐานะทางธรรมเป็นนักธรรมเอก และสำเร็จประโยคสูงสุดของบาลีศึกษา ตามหลักสูตรคณะสงฆ์ไทยเป็นพระเปรียญธรรม ๙ ประโยค
 ในเวลาต่อมา ได้สมัครเรียนและสอบวิชาชุดครูพิเศษ ได้วุฒิครู พ.ม. และสำเร็จปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้วุฒิ
ศึกษาศาสตร์บัณฑิต (ศษ.บ.) เป็นพระนักเทศน์นักการศึกษาและนักพัฒนา
     ท่านเป็นพระนักเทศน์และการศึกษารูปสำคัญรูปหนึ่งของคณะสงฆ์ไทย มีอุปนิสัยละเอียดอ่อน รู้กตัญญูกตเวทิตาคุณ มีความพอมักสันโดษ
ใฝ่ทางธรรมปฏิบัติ จึงรักษาคุณงามความดีไว้ได้โดยสม่ำเสมอ และไม่ทะเยอทะยานใฝ่ใสสมณศักดิ์ ตลอดชีวิตท่านได้สละแรงกายแรงสติปัญญา
รับใช้พระศาสนามาตลอด ได้สร้างผลงานไว้แด่คณะสงฆ์จังหวัดอ่างทองไว้มากมาย เพราะได้ใช้ชีวิตการเรียนการศึกษา และการงานกว่า
ครึ่งหนึ่งของชีวิต ที่จังหวัดนั้น ท่านมีสังกัด ครั้งสุดท้ายก่อนเดินทางกลับมารับใช้ภูมิลำเนาเดิมที่วัดอ่างทองวรวิหาร อำเภอเมือง  จังหวัด
อ่างทอง  อันเป็นวัดที่ตั้งสำนักงานปกครองของเจ้าคณะจังหวัดอ่างทอง ท่านได้รับมอบหมายตำแหน่งหน้าที่หลายตำแหน่งนับแต่ครูสอน
พระปริยัติธรรม อุปัชฌาย์เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงตำแหน่งหน้าที่พระปริยัตินิเทศก์  ประจำจังหวัดอ่างทอง และเป็นเลขานุการเจ้าคณะจังหวัด
อ่างทอง อันเป็นตำแหน่งสูงสุดทางสังฆาธิการ ในขณะนั้นท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอ่างทองวรวิหาร พระอารามหลวง ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่ง
ที่มั่นคงทางฝ่ายสงฆ์     การกลับคืนมาตุภูมิ พ.ศ. ๒๕๓๙ คณะสงฆ์ศรีสะเกษได้ ทำหนังสือขอตัวมาช่วยราชการสงฆ์ศรีสะเกษ โดยประจำอยู่ที่สำนัก
เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ  วัดเจียงอีศรีมงคลวรารามเป็นเวลาประมาณ ๑ ปีเศษ ในขณะนั้นวัดมหาพุทธารามมีการเปลี่ยนแปลงเจ้าอาวาส
ค่อนข้างถี่ นับแต่สิ้นอดีตพระคุณท่านพระเทพวรมุนี(เสน ปญฺญาวชิโร) ป.ธ.๗ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ก็มีพระครูวีรเขตคณารักษ์(มานิต วรญฺาโณ)
ป.ธ.๖ เป็นเจ้าอาวาส สืบแทนมา พระครูวีรเขตคณารักษ์  อยู่มาได้ ๓ ปีก็มรณภาพในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ เจ้าคุณพระเทพวรมุนี(วิบูลธรรมวาที ขณะนั้น)
รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม  ต่อมาเป็นเวลา ๑ ปี  จึงได้แต่งตั้ง พระครูศาสนกิจวิธาน(เนียม มหาปญฺโญ) น.ธ.เอก เป็นเจ้าอาวาส
รูปต่อมา  เนื่องจากพระครูศาสนกิจวิธาน เข้ามาเป็นเจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม ขณะที่มีสุขภาพทรุดโทรม(ภายหลังต้องตัดไตออกไปข้างหนึ่ง
แล้วเป็นเนื้องอกตามมาภายหลังอีก) เป็นเหตุให้ไม่สามารถบริหารงานวัดมหาพุทธารามได้อย่าง เต็มที่ ท่านจึงได้ปรึกษาบริษัทหมู่เหล่าต่างๆ
 เพื่อขอตัวพระมหาธีรังกูร ธีรงฺกุโร มาเป็นรองเจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม อัน เป็นความเห็นที่ค่อนข้างตรงกันหลายฝ่าย ฉะนั้น ครั้นเมื่อวันที่
 ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ จังหวัดจึงได้แต่งตั้งพระมหาธีรังกูร ธีรงฺกุโร มาดำรงตำแหน่งรองเจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม และอีกเพียง ๔ วัน
ต่อมา ตรงกับวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ พระครูศาสนกิจวิธานก็มรณภาพ นับเป็นการมรณภาพของเจ้าอาวาสวัดมหาพุทธารามถึง
๓ รูป ติดต่อกันในระยะเวลาอันสั้น พระมหาธีรังกูร ได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าคณะตำบลเมืองเหนือ ด้วยคำสั่งลงวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๑
ก่อนที่จะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดมหาพุทธาราม โดยคำสั่งเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ลงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ขณะเป็นเจ้าอาวาส
วัดมหาพุทธาราม พระมหาธีรังกูร มีอายุ ๕๐ พรรษา ๓๐     พระมหาธีรังกูร ธีรงฺกุโร เมื่อเข้ามาบริหารงานนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๑
 เป็นต้นมา วัดมหาพุทธารามเจริญขึ้นทันตาเห็น ทำให้วัดเก่า กลายเป็นวัดใหม่ที่ศิษยานุศิษย์วัดนี้คืนกลับมาเยี่ยมชมภายหลังแล้วจำวัดเดิมไม่ได้
อันเนื่องมาจากท่านได้จัดระเบียบการปกครองพระภิกษุ-สามเณร จัดตั้ง โรงเรียนพระปริยัติธรรม-บาลีและเปิดสอนอย่างเอาใจใส่ ใช้หลัก
วิธีการสอนทันสมัย และเชี่ยวชาญในหลักสูตร สำหรับปีการศึกษา ๒๕๔๑  ปีแรกที่ท่านเข้ามาจัดการบริหาร ปรากฏว่ามีการเรียนการสอนบาลี
ทุกชั้นตั้งแต่ ป.ธ.๑-๒ ถึง ป.ธ.๙ คาดหมายว่าการศึกษาพระปริยัติธรรมที่เคยเฟื่องฟูมาแต่ก่อนสมัย ท่านเจ้าพระคุณพระเทพวรมุนี
(เสน ปญฺญาวชิโร) จะหลับฟื้นขึ้นมาได้ในไม่ช้า     ในด้านการบริการชุมชน ท่านพยายามจัดทำวัดให้เป็นอารามที่สะอาด ร่มเย็น ปลอดจาก
ยาเสพติดและภัยอันตรายจากการลักขโมยต่างๆ ได้ปรับปรุงบริเวณพื้นที่ให้ราบเรียบ และจัดระบบการรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
โดยได้รับความร่วมมือจากเทศบาลเมืองศรีสะเกษ นำรถเข้ามาขนขยะออกไป ทุกเช้า และพระภิกษุสามเณรทุกรูปต้องปฏิบัติการปัดกวาด
ทำความสะอาดวัดอย่างเป็นกิจวัตรประจำวันตามพระธรรมวินัยที่ต้องประพฤติโดยสม่ำเสมอ  วัดมหาพุทธารามจึงดูสะอาดสะอ้าน สบายตา
สบายใจ ท่านได้ปรับปรุงพระอุโบสถ พระวิหาร กุฏิ ศาลา ซุ้มประตูวัด และกำแพงทั้งสี่ด้านประตูเข้าออก ได้รับ การขัดถูปูพื้นสีใหม่ จึงดูเหมือน
เป็นวัดใหม่เกิดขึ้นกลางเมืองศรีสะเกษ และเป็นที่นิยมมากขึ้น ประชาชนค่อยทยอยเข้ามาแสวงหาความร่มรื่นภายใน วัดมหาพุทธาราม และ
น้อมเข้าไปสักการะหลวงพ่อโตพระพุทธรูปเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง ในพระมหาวิหารมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีแผนงานใหม่ๆ อีกหลายด้าน
ที่พระมหาธีรังกูร ธีรงฺกุโร เจ้าอาวาสวัดมหาพุทธารามและเจ้าคณะตำบลเมืองเหนือ วางไว้เพื่อการสร้างวัดมหาพุทธาราม สำหรับชุมชน
กลางเมืองศรีสะเกษแห่งนี้ ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองและร่วมมือกันจัดทำต่อไป





หลวงปู่เกลี้ยง



      หลวงปู่เกลี้ยง เตชธัมโม ถือเป็นพระคณาจารย์รูปหนึ่ง ที่มีความรอบรู้หลากหลายศาสตร์หลายแขนง ได้นำความรอบรู้และแม่นยำของท่าน ช่วยให้ผู้คนพ้นเคราะห์ พ้นอันตราย ให้ได้รับผลสมความปรารถนามากมาย ปัจจุบัน หลวงปู่เกลี้ยง หรือพระครูโกวิทพัฒโนดม สิริอายุ 99 ปี พรรษา 31 เป็นเจ้าอาวาสบ้านโนนแกด ต.ทุ่ม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ อัตโนประวัติ หลวงปู่เกลี้ยง เกิดในสกุล คุณมะนะ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2451 ที่บ้านก้านเหลือง ต.หมากเขียบ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายบุญมี และนางผิว คุณมะนะ มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน เมื่ออายุได้ 8 ขวบ บิดาก็เสียชีวิต สร้างความ
ลำบากให้ครอบครัวไม่น้อย มารดาจึงต้องอพยพพาลูกๆ มาอยู่บ้านโนนแกด ต.ทุ่ม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ จากนั้น เข้าเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาใน
โรงเรียนวัดบ้านโนนแกด จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และเรียนต่อม.3 จบในปีพ.ศ.2466 จึงออกมาช่วยมารดาประกอบอาชีพ เพื่อช่วยเหลือครอบครัว
     พ.ศ.2467 เป็นครูช่วยสอนครั้งแรกที่โรงเรียนวัดบ้านโนนแกด ก่อนถูกย้ายไปสอนที่โรงเรียนบ้านโพรง อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ เป็นเวลา 3 ปีครึ่ง ในขณะที่สอนหนังสืออยู่นั้น สุขภาพร่างกายไม่ค่อยสู้ดี จึงขอลาออกมาเพื่อรักษาตัว เมื่อสุขภาพดีขึ้น ท่านจึงขอลาบวชสามเณร ที่วัดบ้านโนนแกด ด้วยความอยากเรียนต่อ กอปรกับได้เคยทำการสอนมาแล้ว จึงมองเห็นความสำคัญของการศึกษา ท่านได้ขออนุญาตเจ้าอาวาสไปเรียนนักธรรม ที่
วัดบ้านดวนใหญ่ อ.วังหิน จ.ศรีสะเกษ เมื่อสอบนักธรรมชั้นตรีได้แล้ว ท่านอยากเรียนต่อนักธรรมชั้นโท แต่วัดบ้านดวนใหญ่ ยังไม่มีการเปิดสอน จึงขอลาเจ้าอาวาสวัดบ้านดวนใหญ่ไปศึกษานักธรรมชั้นโทที่จ.บุรีรัมย์ ในขณะที่ศึกษาอยู่นั้น ทางราชการมีหมายเรียกให้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร
จำเป็นต้องลาสิกขา ท่านเข้ารับการฝึกเป็นเวลา 6 เดือน ก่อนได้รับคัดเลือกเข้าเรียนต่อนายสิบทหาร ท่านได้มาประจำการและออกปฏิบัติการสงคราม
มหาเอเชียบูรพานาน 2 ปี 7 เดือน ก่อนย้ายกลับมาเป็นเสมียนสัสดีที่อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ทำงานในตำแหน่งนี้ได้ 2 ปีเศษ ท่านต้องออกจากงาน เพราะมารดาเสียชีวิต ไม่มีใครดูแลน้อง เนื่องจากเป็นคนที่มีความรู้และมีใจยุติธรรม ชาวบ้านจึงแต่งตั้งให้เป็นตุลาการประจำหมู่บ้าน ต่อมา ได้แต่งงาน
กับนางเลิง คุณมะนะ และมีธิดาด้วยกัน 1 คน ในชีวิตฆราวาส ได้อาศัยประสบการณ์ในการรับราชการทหาร ช่วยรักษาพยาบาลชาวบ้านด้วยยาสมุนไพร ผู้คนที่ป่วยก็หายป่วย จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ชาวบ้านใกล้และไกล ต่างเข้ามาขอรับการรักษา เกิดความเลื่อมใสศรัทธาและเป็นที่กล่าวขาน นายเกลี้ยง
ไม่เคยใช้ชีวิตหยุดนิ่งอยู่กับที่ ยังได้ศึกษาธรรมะที่ตัวเองชอบ ได้ศึกษาพระคาถา พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระคาถาจักราวุธโองการพระเจ้า 5 พระองค์ ด้วยความอยากรู้และใฝ่เรียน ท่านได้ไปเรียนวิชากับอาจารย์บาน เรียนจนอาจารย์ไม่มีอะไรจะสอนอีก อาจารย์บานจึงแนะนำให้ บวชธรรมและศึกษา
พระคาถาอีกมากมาย ท่านมีความชำนาญด้านคาถาอาคม การรักษาพยาบาลด้วยสมุนไพร จนเป็นที่เลื่องลือและมีคนสมัครเป็นศิษย์มากมาย ท่านก็รับ
เป็นศิษย์  โดยจะบวชธรรมให้ ถ่ายทอดวิชาทุกอย่างขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนว่าทำได้ตามข้อห้ามที่บอกหรือไม่
     พ.ศ.2518 จึงบอกกล่าวกับครอบครัวจะขออุปสมบท ทางครอบครัวอนุโมทนาด้วย ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2518 ที่วัดบ้านแทง
ต.ซำ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ โดยมีพระเกษตรศีลาจารย์ วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม ต.เมืองใต้ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูประศาสน์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมุห์บุญทัน เป็นพระอนุสาวนาจารย์  ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ของหลวงปู่เกลี้ยง ชอบทำงานเพื่อส่วนรวมของประชาชน
เป็นประจำ บ่อยครั้งที่บรรดาลูกศิษย์ไปวัดบ้านโนนแกด จะไม่พบท่านในกุฏิ แต่จะต้องเดินทางไปตามหมู่บ้านใกล้บ้างไกลบ้าง ตามแต่งานที่กำลัง
ให้ความช่วยเหลืองานก่อสร้างถนนใหม่หรือการซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างจะได้รับความ สนใจเป็นที่ยิ่ง จะพบเห็นได้จากผลงานการให้ความช่วยเหลือวัดต่างๆ มิใช่เพียงแต่ในจ.ศรีสะเกษเท่านั้น แต่ยังให้ความช่วยเหลือวัดต่างๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ได้ร้องขอมา ท่านจะให้การสนับสนุนทุกแห่ง
หลวงปู่เกลี้ยง ยังให้การสงเคราะห์ด้านการรักษาพยาบาลแก่ผู้ประสบเคราะห์ชะตากรรมต่างๆ ซึ่งไม่อาจรักษาให้หายได้จากสถานพยาบาล โดยการ
ให้การรักษาของหลวงปู่ เป็นยาตามตำรับแพทย์แผนโบราณและจากความเชื่อศรัทธา ทำให้ทุกคนหายเจ็บป่วย ถ้ามาหาทันเวลาและอยู่ในวิสัยที่จะ
หายไข้ได้
     หลวงปู่เกลี้ยง เป็นพระสุปฏิปันโน คือ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ข้อธรรมที่ท่านนำมาถ่ายทอดแก่บรรดาญาติโยม ยากจะหาพระรูปใดเสมอเหมือน ด้วยท่านจะสอนแต่เฉพาะผู้สนใจใฝ่รู้เท่านั้น
     หลวงปู่เกลี้ยง ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ พระครูโกวิทพัฒโนดม พร้อมตาลปัตรพัดยศ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2534 แม้ทุกวันนี้ หลวงปู่เกลี้ยง
จะย่างอายุเข้าล่วงวัยไม้ใกล้ฝั่ง แต่ท่านยังเอาใจใส่ทำงานเพื่อส่วนรวมเช่นเดิม โดยมิได้หยุดหย่อน สมกับเป็นปูชนียบุคคลแห่งอีสานใต้โดยแท




พระครูวิจารณ์สมถกิจ (จรัส เขมจารี)
   











     พระครูวิจารณ์สมถกิจ (จรัส เขมจารี) เจ้าอาวาสวัดประชารังสรรค์ อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ เป็นพระเถระรูปหนึ่งของจังหวัด
ศรีสะเกษ ที่มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด ในพระธรรมวินัย ในสายของหลวงปู่ศรี (พระญาณวิเศษ) วัดหลวงสุมังคลารามและในสายของหลวงปู่มั่น
ภูริทตฺโต พระครูวิจารย์สมถกิจ (จรัส เขมจารี) เกิดเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม พ .ศ. ๒๔๗๐ ที่บ้านเมืองจันทร์ บิดาชื่อนายมา มารดาชื่อนางผุย
นามสกุลเดิม ศรีสุข  เป็นไทยเชื้อสายกูยหรือส่วย มีอาชีพทำนา และมีพี่น้องร่วมบิดา มารดา ๗ คน ได้รับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนประชาบาล
วัดบ้านเมืองจันทร์ เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ได้ออกมาช่วยบิดาในการทำไร่ ทำนา จนอายุได้ ๑๗ ปี จึงได้ออกบรรพชาเป็นสามเณร
ที่วัดบ้านเมืองจันทร์ อำเภออุทุมพรพิสัย  จังหวัดศรีสะเกษ
     พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดหลวงสุมังคลาราม อำเภอ เมือง จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีพระครูสิริสารคุณ (พระญาณวิเศษ)
 หรือหลวงปู่ศรี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาธวัช วิมโล เป็นกรรมวาจาจารย์ พระมหาหน่วย ขนฺติโก (พระศาสนดิลก) เป็นพระอนุสาวนาจารย์
 และได้ฉายาว่า เขมจารีภิกขุ หลังจากได้ศึกษานักธรรมและบาลีจากสำนักเรียน วัดหลวงสุมังคลาราม และได้ฝึกวัตรปฏิบัติกัมมัฏฐานกับหลวงปู่ศรีฯ
 ได้ระดับหนึ่งแล้ว
     ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้รับมอบหมายจากพระครูสิริสารคุณ (หลวงปู่ศรี ฐิตธมฺ โม) เจ้าอาวาสวัดหลวงสุมังคลารามซึ่งเป็นอาจารย์ ให้ไปเผยแพร่ธรรม
และสร้างวัดขึ้นในเขตพื้นที่อำเภออุทุมพรพิสัย เพื่อเป็นการขยายสาขาวัฒนธรรมยุตให้มากยิ่งขึ้น ประกอบกับในบริเวณเขตพื้นที่ดังกล่าว
เป็นที่อยู่อาศัยของชาวกูยด้วย
     ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ชาวบ้านห้วยทับทันได้ร่วมกันสร้างกุฎิไม้ขึ้นถวายหลัง หนึ่ง พอได้เป็นที่พักอาศัย (รื้อเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๙) และในปีต่อมา
ได้สร้างศาลาไม้ใต้ถุนสูง ๑ หลัง เพื่อประกอบศาสนพิธีและให้ชาวบ้านได้มาทำ บุญ ชาวบ้านเรียกว่า ศาลาบุญ มาจนทุกวันนี้ และเวลาเพียงไม่กี่ป
ีสำนักสงฆ์เล็กๆ ริมฝั่ง ห้วยทับทัน ซึ่งเดิมมีพื้นที่เพียง ๑๐ ไร่ ปัจจุบันพุทธศาสนิกชนได้ร่วมกัน จัดซื้อที่ดินถวายเพิ่มเติมเป็น ๓๐ ไร่ และ
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓  สำนักสงฆ์แห่งนี้ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาตั้งเป็นวัดชื่อ วัดประชารังสรรค์ หมายถึง วัดที่ประชาชนร่วมกันสร้าง
     วัดประชารังสรรค์ ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงศรัทธาที่มีต่อพระเดชพระคุณพระครูวิจารณ์สมถกิจ (จรัส เขมจารี) ในปี
พ.ศ. ๒๕๒๐ ได้สร้างอุโบสถทรงไทยยกฐานสูง มูลค่าประมาณ ๑๐ ล้านบาท นอกจากนี้ญาติโยม พ่อค้าคหบดี ได้ร่วมกันสร้างกุฎิไม้สักทอง
ทั้งเสาและพื้นปูด้วยหินอ่อน ถวายอีกจำนวน ๕ หลัง เป็นสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งหาดูไม่ได้ง่ายนักในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้  ในปี พ.ศ. ๒๕๓๔
 คณะศิษย์และพุทธศาสนิกชนยังร่วมกัน สร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่ (ขนาดกว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๕๔ เมตร) ทั้งเสาและพื้นปูด้วยหินอ่อน
จั่วและหน้าบันทำเป็นลายปูนปั้นสวยงาม เมื่อเสร็จ สมบูรณ์คงจะต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ ๑๕-๒๐ ล้านบาท โดยมิได้ใช้งบประมาณ
ของทางราชการแต่อย่างใด     พระครูวิจารณ์สมถกิจ ยังได้รวบรวมวัตถุปัจจัย ที่ญาติโยมนำมาถวาย จดทะเบียนจัดตั้งเป็นมูลนิธิ ชื่อ มูลนิธิ
วัดประชารังสรรค์ จรัส เขมจารีนุสรณ์  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำดอกผลมาพัฒนาปฏิสังขรณ์ สนับสนุนการศึกษาพระภิกษุ สามเณร ตลอดจน
เด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาสและยากไร้ นับว่า เป็นพระผู้มีสายตาที่ยาวไกลในการสร้างสรรค์ทรัพยากรมนุษย์ในท้องถิ่นห่างไกลและกันดาร
นอกจากนี้ ยังรับเป็นธุระดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิ การศึกษาอำเภอห้วยทับทันอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย     ส่วนงานบริหารองค์การคณะสงฆ์นั้น
 ในพ.ศ. ๒๕๒๕ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลห้วยทับทัน (ฝ่ายธรรมยุต) และหลังจากพระเดช พระคุณ พระครูโสภิตธรรมภาณ
(โส)  เจ้าอาวาสวัดประชานิมิต และเจ้าคณะอำเภออุทุมพรพิสัย-ห้วยทับทัน (ธ.) ได้มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ คณะสงฆ์  จังหวัดศรีสะเกษ
(ฝ่ายธรรมยุต) จึงได้เสนอพระเดชพระคุณ พระครูวิจารณ์สมถกิจ (จรัส เขมจารี) ให้ดำรงตำแหน่งแทน ปัจจุบันได้รับแต่งตั้งให้ดำรง
ตำแหน่งเป็นเจ้าคณะอำเภอธรรมยุต ๖ อำเภอ คือ เจ้าคณะอำเภออุทุมพรพิสัย ห้วยทับทัน เมืองจันทร์ โพธิ์ศรีสุวรรณ บึงบูรพ์ และอำเภอราษีไศล


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น