วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

บุคคลสำคัญ จังหวัดศรีสะเกษ

บุคคลสำคัญ
บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์






พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ)  
เจ้าเมืองขุขันธ์  คนที่ ๑
     พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน  เดิมชื่อ "ตากะจะ" เป็นหัวหน้าเขมรส่วยป่า ดง  หมู่บ้านโคกลำดวนหรือบ้านดวนใหญ่ในปัจจุบัน มีน้องชายชื่อ
เชียงขันธ์  ทั้ง ๒พี่น้อง มีความชำนาญในการคล้องช้างเพื่อจับมาฝึกใช้งาน โดยใช้พิธีกรรมปลุกเสกคาถา ใช้ภาษาช้าง พูดกับช้างที่ถูกฝึกมาแล้วได้
เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๒ ได้อาสาออกติดตามพญาช้างเผือก ในสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ หรือพระเจ้าเอกทัศน์ แห่งกรุงศรีอยุธยา  ร่วมกับสหายชาว
ส่วยเขมรป่าดง เช่นเชียงปุม  แห่งบ้านเมืองที่เชียงสีแห่งบ้านกุดหวาย เชียงฆะ แห่งบ้านดงยาง จนสามารถจับ พญา ช้างเผือก นำกลับกรุงศรีอยุธยา
ได้อย่าง ปลอดภัย  จึงได้รับ พระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงแก้วสุวรรณ"  ให้ควบคุมลูกบ้านเขมรป่าดงในหมู่บ้านตน 
คือ บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน หรือบ้านดวนใหญ่ขึ้นต่อเมืองพิมาย ต่อมา ได้นำช้าง ม้า แก่นสน  ยางสน ปีกนก นอระมาด  งาช้าง ขี้ผึ้ง เป็นของ
ส่วยนำส่งทูลถวาย ณ กรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ จึงได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานยกฐานะบ้านปราสาท สี่เหลี่ยมโคกลำดวนขึ้นเป็น
"เมืองขุขันธ์"  เลื่อนบรรดาศักดิ์จาก "หลวงแก้วสุวรรณ"  เป็น  "พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน" เจ้าเมืองขุขันธ์ในปี พ.ศ. ๒๓๐๖  ปี พ.ศ. ๒๓๑๙
เมืองขุขันธ์ ได้ยกทัพไปช่วยพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) และพระยาสุรสีห์ พิษณวาธิราช (ทองมา) ตีเมืองเวียงจันทน์ เพราะพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
สัตนาคนทูตแห่งเวียงจันทน์ ได้ให้พระสุโพธิยกทัพมาตีบ้านดอนมดแดงและจับพระ วอประหารชีวิต การไปทัพครั้งนี้  ทำศึกจนได้ชัยชนะมีความชอบ
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อน บรรดาศักดิ์จาก "พระ" เป็น "พระยา"  จึงทำให้ตากะจะได้บรรดาศักดิ์ครั้งสุดท้ายในนาม "พระยาไกรภักดี-ศรีนครลำดวน " เป็นเจ้าผู้ครองเมืองขุขันธ์เป็นคนแรก อยู่ในตำแหน่ง เจ้าเมือง ๑๐ ปี  ถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ. ๒๓๒๑  นับเป็น
บรรพบุรุษ
ผู้ก่อตั้งเมืองขุขันธ์เป็นคนแรก










พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (เชียงขันธ์) เจ้าเมืองขุขันธ์คนที่ ๒
     พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์คนที่ ๒เดิมชื่อ ขันธ์ หรือเชียงขันธ์ เป็นน้องชายตากะจะ (เจ้าเมืองคนที่ ๑) เป็นหัวหน้า
เขมรส่วยป่าดง คู่บารมีพี่ชาย คือตากะจะ ได้ร่วมจับพญาช้างเผือก ครั้งแตกโรงจากกรุงศรีอยุธยา ปี พ.ศ. ๒๓๐๒ พร้อมคณะทั้ง ๕ คน ได้ความชอบ
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงปราบ" ช่วยราชการเมืองขุขันธ์
     เมื่อเมืองขุขันธ์ได้ร่วมยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทร์ พ.ศ. ๒๓๑๙ นั้น หลวงปราบได้แสดงฝีมือให้กองทัพประจักษ์จนได้รับชมว่าเป็นทหารเอกของ
เมืองขุขันธ์ ทำศึกจนชนะ เมื่อยกทัพกลับ ได้นางคำเวียงหญิงหม้ายตระกูลใหญ่ จากประเทศลาวเป็นภรรยาและได้อพยพครอบครัวนางคำเวียง
พร้อมด้วยบ่าวไพร่มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านบก (บ้านบก หมู่ ๑๓ ต.ห้วย เหนือ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ) และยังได้ท้าวบุญจันทร์บุตรชายของนางคำเวียง 
มาเป็นบุตรเลี้ยงด้วย
     ปี พ.ศ. ๒๓๒๒ สมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) ถึงแก่อนิจกรรมจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หลวงปราบ
เป็นพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองคนที่ ๒ และได้ย้ายเมืองขุขันธ์จากบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวนหรือ บ้านดวนใหญ่ไป ตั้งที่เมือง
ขุขันธ์ในปัจจุบัน ตามที่พระยาขุขันธ์คนที่ 1 คือ  ตากะจะได้วางแผนเอาไว้แล้วในการย้ายเมืองขุขันธ์มาตั้ง ณ ที่แห่งใหม่ใน ครั้งนี้ ได้มีหลักฐาน
คือการฝังหลักเมือง ณ มุมวัดกลางอมรินทราวาส (ด้านตะวันตกเฉียงใต้)
     ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระยา ขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (เชียงขันธ์) ได้มีใบบอกขอตั้งท้าวบุญจันทร์ 
บุตรเลี้ยงเป็น "พระไกร"  ตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมือง และทรงโปรดเกล้าให้เปลี่ยนพระนามเจ้าเมืองขุขันธ์จากนามเดิมพระยาไกรภักดี ศรีนคร-
ลำดวน เป็น "พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน"  จึงทำให้เจ้าเมืองขุขันธ์ต่อๆ มาใช้นามในฐานะ เจ้าเมืองขุขันธ์ ว่า "พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน" 
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
     ต่อมา "พระไกร" ไม่พอใจพระยาขุขันธ์ฯ ที่มักเรียกพระไกรว่าลูก เชลย เมื่อมีโอกาสจึงกล่าวโทษไปยังกรุงเทพฯว่า พระยาขุขันธ์ฯ (เชียงขันธ์)
คิดคบกับญวนต่างประเทศ  จะเป็นกบฏ  เพื่อพิจารณาคดีที่กรุงเทพฯ พระยาขุขันธ์ฯ (เชียงขันธ์) ถูกจำ คุกอยู่กรุงเทพฯ ๓ ปี ถือว่าเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ 
คนที่ ๒ ที่สร้างคุณประโยชน์อย่างยิ่ง แม้จะอยู่ในตำแหน่งเจ้าเมืองได้ ๔ ปี
    












พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวบุญจันทร์)
เจ้าเมืองขุขันธ์ คนที่ ๓
     พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน คนที่ ๓ เดิมชื่อ ท้าวบุญจันทร์ เป็น บุตรเลี้ยงของพระยาขุขันธ์คนที่ ๒ (เชียงขันธ์) มารดาชื่อ นางคำเวียง
หญิงหม้าย ตระกูลสูงจากเวียงจันทร์  ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็น "พระไกร"  ช่วยราชการเมือง หลังจากพระยาขุขันธ์ (เชียงขันธ์) ถูกจำคุกแล้ว
ทรงโปรดเกล้าฯ  เป็นพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวนเจ้าเมืองขุขันธ์ คนที่ ๓ สืบแทน พ.ศ. ๒๓๒๗
     ปี พ.ศ. ๒๓๔๙ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงดำริว่า เมืองขุขันธ์ ได้ตามเสด็จทำศึกสงครามหลายครั้งมีความชอบ
ให้เมืองขุขันธ์  ขึ้นต่อกรุงเทพฯ โดยไม่ต้อง ขึ้นต่อเมืองพิมายอีกต่อไป  (ยกฐานะเมือง)
     ปี พ.ศ. ๒๓๖๙ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์กษัตริย์แห่งนครเวียงจันทน์ เป็นกบฏ
ยกทัพเข้าตีเมืองนครราชสีมา เจ้าโว้ (โอรสเจ้าอนุวงศ์) เจ้านครจำปาศักดิ์ยึดเมืองขุขันธ์ เมืองสังขะ เมือง สุรินทร์ จับพระยาขุขันธ์ (บุญจันทร์)
และกรมการเมือง ระดับผู้ใหญ่ เมืองขุขันธ์ประหารชีวิตหมดสิ้น ส่วนเจ้าเมืองสังขะ เจ้าเมืองสุรินทร์ พร้อมกรมการเมืองหนีไปได้  ต่อมา
กองทัพจากกรุงเทพฯ ยกขึ้นมาปราบกบฏได้สำเร็จ  จึงทำให้พระยาขุขันธ์ คนที่ ๓ ท้าวบุญจันทร์อยู่ในตำแหน่งเจ้าเมืองขุ ขันธ์ ๔๓ ปี  ทำให้
เมืองขุขันธ์ขาดเจ้าเมืองปกครองอยู่ระยะหนึ่ง









พระยาขุขันธ์ภักดี ศ รีนครลำดวน (เชียงฆะ)  เจ้าเมืองขุขันธ ์คนที่ ๔

     พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวนเชียงฆะหรือเชียงเตา) เจ้าเมืองขุขันธ์คน ที่ ๔ เดิมชื่อ เชียงฆะหรือเชียงเตา เป็นหัวหน้าเขมรป่าดงร่วมคณะผู้นำ
จับพญาช้างเผือก ส่งกลับกรุงศรีอยุธยา ปี ๒๓๐๒ เมื่อตากะจะได้รับการทรงโปรด เกล้าฯ ให้รับบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงแก้วสุวรรณ" เชียงฆะได้รับ
โปรดเกล้าฯ บรรดาศักดิ์เป็น "หลวงเพชร" หัวหน้านายกอง ว่าราชการดูแลบ้านอัจจะบะนึง (สังฆะ) ภายหลังยกฐานะเป็น เมืองสังขะ ทรงโปรดเกล้าฯ 
ให้หลวงเพชรเป็น "พระสังฆะบุรีนครอัจจะเจ้าเมืองสังขะ"
     หลังจากที่กองทัพกรุงเทพฯ ปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์เรียบร้อยแล้ว เมือง ขุขันธ์ขาดเจ้าเมืองปกครอง จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสังฆะบุรีศรีนครอัจจะ
(เชียงฆะ) มาเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์  โปรดเกล้าฯ ให้พระใน (ท้าวใน) เป็นพระภักดีภูธรสงครามปลัดเมือง โปรดเกล้าฯ ให้พระสุเพี้ยน (ท้า วนวน)  เป็น
พระมนตรี ยกบัตรเมือง หลังทรงโปรดเกล้าฯให้ท้าวหล้า (บุตรพระยาขุขันธ์(เชียงขันธ์)) เป็นพระ มหาดไทย และให้ท้าวอินทร์ บุตรพระยาสังฆะบุรี
ศรีนครอัจจะ (เชียงฆะ) เป็น "พระยาสังฆะบุรีศรีนครอัจจะ" เจ้าเมืองสังขะ แทนบิดา
     พระยาขุขันธ์ฯ (เชียงฆะ) ได้สร้างความเจริญความเป็นปึกแผ่น มั่นคงให้แก่เมืองขุขันธ์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะได้ทำศึกสงครามกับเขมร
และญวน ในปี พ.ศ. ๒๓๗๖และพ.ศ. ๒๓๘๓ ได้ขอพระบรมราชานุญาตตั้งบ้านไพรตระหนักหรือบ้านสีดาขึ้นเป็นเมืองโดยได้นามเมืองว่า
"เมืองมโนไพร" และ โปรดเกล้าฯ ให้หลวงภักดีคำนาหรือทิดพรหม  เสมียนตราเมืองขุขันธ์ เป็นเจ้าเมืองนโนไพรพระยาภักดีศรีนครลำดวน
(เชียงฆะ) ถึงแก่อนิจกรรม 
ในปี พ.ศ. ๒๓๙๓ ได้อยู่ในตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์ได้ ๒๒ ปี












  พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวใน) เจ้าเมืองขุขันธ์ คนที่ ๕
     พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวใน) เดิมชื่อ ท้าวในเป็นบุตรพระยา ไกรภักดี (ตากะจะ) ต่อมาได้บรรดาศักดิ์เป็น "พระไชย" เป็นพระภักดี
ภูธรสงคราม ปลัดเมืองขุขันธ์ พระบาทสมเด็๋จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น "พระ ยาขุขันธ์ภักดี ศรีนครลำดวน"  เจ้าเมือง
ขุขันธ์ คนที่ ๕ เลื่อนพระมหาดไทย (ท้าวหล้า) เป็นพระภักดีภูธรสงครามแทน ปลัดเมือง ต่อมาถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวกิ่ง บุตรพระยาขุขันธ์
(เชียงขันธ์) เป็นพระภูธรสงครามปลัดเมือง ให้ท้าวศรีเมืองเป็นพระมหาดไทย พระยาขุขันธ์ภักดี  ศรีนครลำดวน (ท้าวใน) ถึงแก่ อนิจกรรมในปี
 พ.ศ. ๒๓๙๓ อยู่ในตำแหน่งราว ๑ ปี (เนื่องจากได้รับตำแหน่งเมื่ออายุมากแล้ว)







พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวนวน) เจ้าเมืองขุขันธ์ คนที่ ๖
     พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวนวน) เจ้าเมืองคนที่ ๖ เดิมชื่อท้าวนวน เป็นบุตรพระยาขุขันธ์ฯ (ตากะจะ) ได้รับตำแหน่งเป็น
พระแก้วมนตรี  ยกบัตรเมืองขุขันธ์ ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ ให้มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน
คนที่ ๖ และให้เลื่อนพระยามหาดไทย (ท้าวศรีเมือง) เป็นยกบัตรเมืองพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวนวน)  อยู่ในตำแหน่งราว
๑ ปี (ได้รับตำแหน่งเมื่ออายุมากแล้ว)









พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวกิ่ง) เจ้าเมืองขุขันธ์ คนที่ ๗

     พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าว กิ่ง) เจ้าเมืองขุขันธ์คนที่ ๗ เดิมชื่อ ท้าวกิ่ง เป็นบุตรพระยาขุ ขันธ์ฯ (เชียงขันธ์) ได้รับโปรดเกล้าฯ
ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์ เป็นพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ คนที่ ๗ แล้วโปรด เกล้าฯ ให้เลื่อนพระยกบัตร (ท้าวศรีเมือง)
 เป็นพระยาภักดีภูธรสงครามปลัดเมือง ให้พระวิเศษ (ท้าวพิมพ์) เป็นพระแก้วมนตรี ยกบัตรเมืองขุขันธ์
     พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าวกิ่ง) ถึงแก่อนิจกรรมอยู่ในตำแหน่ง ๒ ปี (เนื่องจากเข้ารับตำแหน่งเมื่ออายุมากแล้ว)









พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าววัง) เจ้าเมืองขุขันธ์ คนที่ ๘
     พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าววัง) เจ้า เมืองขุขันธ์คนที่ ๘ เดิมชื่อท้าววัง เป็นบุตรพระยาขุขันธ์ฯ (เชียงขันธ์ ) น้องชายพระยาขุขันธ์
คนที่ ๗ (ท้าวกิ่ง) และเป็นบิดาท้าวปัญญา เจ้าเมืองขุขันธ์คนที่ ๙ เคยได้ รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็น "พระวิไชย" ตำแหน่งยกบัตรเมืองขุขันธ์ ต่อมา
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น เจ้าเมืองขุขันธ์ ปี พ.ศ. ๒๓๙๕
     ปี พ.ศ. ๒๔๑๐ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาขุขันธ์ฯ (ท้าววัง) มีใบบอกกราบบังคมทูลพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ยกบ้านกันตวด ตำบลห้วยอุทุมพร เป็นเมืองอุทุมพรพิสัย ให้ท้าวบุตรดี บุตร พระยาขุขันธ์ฯ (ท้าววัง) เจ้าเมืองคนที่ ๘ เป็นพระอุทุมพร
เทศาภิบาล เป็นเจ้าเมืองและยกบ้านห้วยลำแสนไพอาบาล ขึ้นเป็นเมืองกันทรลักษ์ ให้พระแก้วมนตรี (พิมพ์) เป็นพระกันทรลักษ์ เจ้าเมือง
โดยให้เมืองทั้งสองขึ้นต่อเมืองขุขันธ์
     ปี พ.ศ. ๒๔๑๑ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองกันทรลักษ์ ไป ตั้งที่บ้านลาวเดิม และย้ายเมืองอุทุมพรพิสัยไปตั้งที่บ้านปรือ
(บ้านผือ) พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ท้าววัง) ถึงแก่อนิจกรรมปี พ.ศ. ๒๔๒๖ ตำแหน่งเจ้าเมือง ๓๐ ปี















พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ปัญญา  ขุขันธิน)  เจ้าเมืองขุขันธ์ คนที่ ๙
     พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ปัญญา ขุขันธิน) เจ้าเมืองขุขันธ์ คน ที่ ๙ เดิมชื่อ ท้าวปาน เป็นบุตรของพระยาขุขันธ์ฯ คนที่ ๘ (ท้าววัง)
 เป็นหลานพระยาขุขันธ์ฯ (เชียงขันธ์) และเป็นพี่ชายของท้าวบุญจันทร์ (ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏผีบุญ) ปี พ.ศ ๒๔๒๖   ท้าวปานกับ
พระรัตนวงษา(จันดี) ได้นำช้างพังสีประหลาดและช้างพังตาดำนำทูลเกล้าฯ ถวาย ณ กรุงเทพมหานคร การแสดงถึงความจงรักภักดีครั้งนี้
จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งท้าวปานเป็น "พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน " เจ้าเมืองขุขันธ์คนที่ ๙  และโปรดเกล้าฯ ให้พระรัตนวงษา
เป็นปลัดเมืองขุขันธ์ บริหารราชการเมืองต่อไป
     ปี พ.ศ. ๒๔๒๘ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตัดทางโทรเลข จากนครจำปาศักดิ์ไปเมืองขุขันธ์
จากเมืองขุขันธ์ไปเมืองเสียมราช โดยเกณฑ์ เมืองขุขันธ์ เมืองสังขะ ตรวจตัดทางโทรเลขอยู่ ณ เมืองขุขันธ์ อุทุมพรพิสัยและมโนไพร
     ปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ได้มีการเปลี่ยนแปลงราชการบริหารแผ่นดินมากมายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ข้าหลวงใหญ่ที่มีอำนาจเต็ม
ในภาคอิสาน ให้ทำการแทนพระเนตร พระกรรณ โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงพิชิตปรีชากร เป็นข้าหลวงใหญ่ ประทับ ณ
เมืองอุบลราชธานี เรียกหัวเมืองลาวกาว   
      ปี พ.ศ. ๒๔๓๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีพิทักษ์ (หว่าง) เป็นข้าหลวงเมืองขุขันธ์ ปี พ.ศ.๒๔๓๖ ฝรั่งเศสยกกองทัพขึ้นทาง
เมืองเชียงแตง  สีทันดร สามโคก ซึ่งเป็นอาณาจักรไทย เมือขุขันธ์ เมืองสุรินทร์ เมืองศรีสะเกษ เมืองมหาสารคาม และเมืองร้อยเอ็ด
เมืองละ ๘๐๐ และเมืองสุวรรณภูมิ เมืองยโสธร เมืองละ ๕๐๐ คน ให้ฝึกการรบดีแล้ว ให้ส่งกำลังเข้าตรึงการรุกรานของฝรั่งเศสและใน
เดือนตุลาคม เหตุการณ์จึงสงบโดยต่างฝ่ายต่างถอนกำลังทหารออก
     ปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ไปอำลาตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์แทน
     ปี พ.ศ. ๒๔๓๗  ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนมณฑลเทศาภิบาลมณฑลลาวกาวเดิมเป็นมณฑลอิสาน
     ปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ทางราชการได้ยุบเมืองเล็กลงเป็นอำเภอ และแบ่งเมืองใหญ่ออกเป็นหลายอำเภอ พร้อมกับแต่งตั้งตำแหน่งผู้ปกครองเมือง
และผู้ปกครองอำเภอขึ้นใหม่และในปีนี้เองที่ ท้าวบุญจันทร์ ท้าวทัน และหลวง รัตนกรมการเมืองที่หมดอำนาจ ไม่ได้รับแต่งตั้งใดๆ เกิดความ
ไม่พอใจ ได้มีปฏิกิริยาต่อต้านทางการจนถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏผีบุญ จึงถูกปราบและเหตุการณ์ได้สงบลง ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้ย้ายที่ทำการ
เมืองขุขันธ์  มาตั้งที่อำเภอเมืองศรีสะเกษ ในปัจจุบัน และยังคงใช้ชื่อเดิมว่า "เมืองขุ ขันธ์" และต่อมาเปลี่ยนอำเภอขุขันธ์ เป็นอำเภอ
"ห้วยเหนือ" ปี พ.ศ. ๒๔๕๐ มณฑลอิสาน แบ่งออกเป็น ๒ บริเวณ คือ บริเวณอุบลราชธานี บริเวณร้อยเอ็ด บริเวณสุรินทร์ บริเวณขุขันธ์
และบริเวณ ขุขันธ์แบ่งออกเป็น ๓ เมือง คือ
    ๑.  เมืองขุขันธ์ พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ปัญญา ขุขันธิน) เป็น ผู้ว่าราชการเมือง มี ๓ อำเภอ คือ อำเภอเมืองขุขันธ์ อำเภออุทุมพรพิสัย
อำเภอเมืองกันทรลักษ์
     ๒.  เมืองศรีสะเกษ พระยาภักดีศรีนครลำดวน (เหง้า) เป็นผู้ว่าราชการเมือง มี ๔ อำเภอ
     ๓.  เมืองเดชอุดม พระสุรเดช อุตมาภิรักษ์ (ทองปัญญา) เป็นผู้ว่าราชการเมือง มี ๓ เมือง
     ปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ในรัชการที่ ๖ แยกมณฑลอิสานออกเป็น ๒ มณฑล คือ มณฑลร้อยเอ็ด และมณฑลอุทุมพรพิสัย มณฑลอุบลราชธานีมีเมืองใน
สังกัด ๓ เมือง คือ
     ๑.  เมืองอุบลราชธานี
     ๒.  เมืองขุขันธ์
     ๓.  เมืองสุรินทร์
     ปี พ.ศ. ๒๔๕๙ รัชสมัยรัชกาลที่ ๖ กระทรวงมหาดไทยประกาศเปลี่ยนชื่อ เมืองทุกเมืองเป็นจังหวัด ผู้ว่าราชการเมือง เป็น ผู้ว่าราชการจังหวัด 
เมืองขุขันธ์เปลี่ยนเป็น จังหวัดขุขันธ์ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๙
     ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ รัชสมัยรัชกาลที่ ๗ มีพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อจังหวัด ขุขันธ์เป็นจังหวัดศรีสะเกษ และเปลี่ยนชื่อเมืองขุขันธ์เป็นอำเภอห้วยเหนือ  มีหลวงสุรรัตนมัย (บุญมี ขุขันธิน) เป็นนายอำเภอคนแรก เมืองขุขันธ์จึงเป็นอำเภอหนึ่งของ จังหวัดศรีสะเกษ
     เนื่องจากพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ปัญญา ขุขันธิน) เริ่มรับ ตำแหน่งเจ้าเมืองเมื่ออายุ ๒๖ ปี พ.ศ. ๒๔๒๖ ถึงปีที่มีการเปลี่ยนแปลง ตำแหน่ง
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้แสดงความรับผิดชอบในโดยไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ แต่ได้สนับ สนุนให้พระยาบำรุงบุระประจันต์ (จันดี) ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นพ่อตา
ให้ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษคนแรก และสนับสนุนหลวงสุ ระรัตนมัย (บุญมี ขุขันธิน) ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นบุตรเขยให้ได้รับแต่งตั้ง
เป็นนายอำเภอคนแรกของอำเภอขุขันธ์ รวมอยู่ในตำแหน่งราชการ ๒๙ ปี และถึงแก่ อนิจกรรมปี พ.ศ. ๒๔๗๐ รวมอายุได้ ๗๐ ปี นับเป็นเจ้าเมือง
คนที่ ๙  (คนสุดท้าย) ของตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์


หลวงคงคณานุการ (แฉล้ม สมิตะมาน)
     หลวงคงคณานุการ อดีตนายอำเภอราษีไศล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑ - ๒๔๖๔ ครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ – ๒๔๗๘ ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๔๓๘
ภรรยาท่านคือ นางรำพัน สมิตะมาน สำเร็จการศึกษาโรงเรียนข้าราชการพลเรือน (ต่อมาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) และโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม  
ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๓ – ๒๔๕๘ เริ่มรับราชการมหาดเล็กรายงานมณฑลอุบลราชธานี พ.ศ. ๒๔๕๘ และเป็นนายอำเภอคง จังหวัดขุขันธ์ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๔๖๑
ต่อมาได้ย้ายไปเป็นนายอำเภอเมืองร้อยเอ็ด นายอำเภอบางกะปิ จังหวัดพระนคร และปลัดจังหวัดกระบี่ในที่สุด
ผลงานในการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดศรีสะเกษ
คือ การจัดรูปผังเมือง การตัดถนนให้เชื่อมกับหมู่บ้าน
ผลงานด้านการปกครอง เช่น ออกตรวจท้องที่ปราบปรามโจรผู้ร้าย ให้บำเหน็จความชอบตอบแทนแก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่ทำงานปฏิบัติงานดี การประชุมกำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน วิธีจับโจรผู้ร้าย ในเขตอำเภอ การตั้งและแก้นามสกุล การปักเขตแดนที่สาธารณะประจำตำบลในหมู่บ้าน การริเริ่มให้มี ตัวแทนแม่บ้านและผู้ช่วยแม่บ้าน
ผลงานด้านการศึกษา เช่น ขยายการศึกษา การจับจองที่ดินไว้ใช้ประโยชน์ทางการศึกษา ณ บริเวณโรงเรียนบ้านท่าโพธิ์ฯ โรงเรียนราษีไศล ประมาณ ๓๐๐ ไร่
การพัฒนาตัวครู การจัดให้โรงเรียนร่วมกับวัดและหมู่บ้าน จัดห้องสมุดให้ชาวบ้านอ่านหนังสือและการลูกเสือ การออกตรวจโรงเรียน
ผลงานด้านศาสนา เช่น บูรณะปฏิสังขรพระพุทธศาสนา พระพุทธบาทจำลองที่ตำบลส้มป่อย ปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ สร้างพระไตรปิฏก จัดทำบุญ  ตามประเพณีท้องถิ่น
ผลงานด้านศิลปะการดนตรี ตั้งวงแคน ส่งเสริมศิลปะพื้นบ้าน
ผลงานด้านอื่น ๆ เช่น สร้างบ้านพักข้าราชการ จัดเมล์ตำบล การเก็บหนังสือราชการ
ลักษณะเด่นประจำตัว เช่น ซื่อสัตย์ ประหยัด ยกย่องครู มีความกตัญญูกตเวที

หลวงคงคุณานุการ นับเป็นบุคคลสำคัญที่เป็นแบบอย่างในการพัฒนาท้องถิ่นในฐานะผู้ริเริ่มและวาง แนวทางปฏิบัติหลายอย่างแก่ทางราชการ และ ได้นำมาใช้
จนถึงปัจจุบันนี้







พระยาบุรประจันต์ (จันดี กาญจนเสริม)
      พระยาบุรประจันต์ (จันดี  กาญจนเสริม)  ข้าหลวงคนแรกของเมืองขุขันธ์ ผู้ย้ายศาลากลางเมืองขุขันธ์ มาตั้งที่ศาลากลางจังหวัดปัจจุบันนี้ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการ
ปราบกบฏเสือยก และกบฏผีบุญบุญจันทร์ ที่เป็นน้องชายของพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ปัญญา) เจ้าเมืองคนสุดท้าย พระยาบำรุงบุรประจันต์ (จันดี) เป็นข้าราชการ
ส่วนกลางที่ได้รับความไว้วางใจจากส่วนกลาง ไปกำกับดูแลหัวเมืองในยุคปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เดิมมีตำแหน่งเป็นพระรัตนโกศา (จันดี) พ.ศ. ๒๔๓๓ เลื่อนตำแหน่ง
เป็นพระยาบำรุงบุรประจันต์ (จันดี) ข้าหลวงกำกับเมืองขุขันธ์ สังกัด หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก ต่อมา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ เปลี่ยนเป็น มณฑลลาวกาว ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้รับ
การขอร้องจากเมืองศรีสะเกษให้ปราบเสือยง ได้สำเร็จ ปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ปราบกบฏ ผีบุญบุญจันทร์ ที่หุบเขาซำปีกา และได้ย้ายศาลากลางเมืองขุขันธ์มาตั้งในที่ตั้งปัจจุบัน
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ และเป็นข้าหลวงบริเวณขุขันธ์ อันประกอบด้วยเมืองขุขันธ์ เมืองศรีสะเกษ และเมืองเดชอุดม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๒ นอกจากเป็น
ข้าหลวงคนแรกของเมืองขุขันธ์แล้ว ยังเป็นผู้นำการเล่นโขนมาเผยแพร่ในเมืองขุขันธ์อีกด้วย











ขุนพิเคราะห์คดี (อินทร์ อินตะนัย)
      สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของจังหวัดศรีสะเกษ ที่ผ่านการเลือกตั้งโดยทางอ้อม เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๗๖ และเป็นนักอภิปรายเป็นที่ยอมรับในสภาผู้แทนราษฎร







นายพุฒเทพ กาญจเสริม
      สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดศรีสะเกษ ชุดแรกที่มาจาการเลือกตั้งโดยตรง และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถึง ๒ สมัย เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๔๘๐ และ
วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๘๑ นายพุฒเทพ กาญจนเสริม ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ รวมอายุได้ ๕๐ ปี









นายเทพ โชตินุชิต
     นายเทพ  โชตินุชิต   เกิดเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๔๕๐ ที่จังหวัดนครปฐม สำเร็จการศึกษาธรรมศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง และจบ
เนติ บัณฑิตไทย (น.บ.ท.) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ประกอบอาชีพทนายความ จ่าศาลจังหวัด ผู้พิพากษา และลาออกสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อ พ.ศ.
๒๔๘๐ นับเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของจังหวัดศรีสะเกษ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง และได้รับการเลือกตั้งต่อมาอีก ๓ สมัย ใน พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นรัฐมนตรีลอย
เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ เคยเป็นเลขาธิการพรรค ประชาธิปัตย์ เป็นหัวหน้าพรรคเศรษฐกร และหัวหน้าพรรคแนวร่วมเศรษฐกร
ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีนโยบายในการแก้ไขปัญหาคนจนตลอดมา นายเทพ โชตินุชิต เป็นนักการเมืองแนวหน้า ที่เป็นที่ยอมรับในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ว่าเป็นผู้มีอุดมการณ์ที่ยืนหยัดมั่งคง แม้ว่าจะประสบเคราะห์กรรมและความทุกข์ยากในการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อ ประชาชน เป็นผู้ที่ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย ยึดมั่น
ในการต่อสู้ด้วยสันติวิธี ด้วยความเสียสละตลอดมา ซึ่งการพิสูจน์ความเด็ดเดี่ยวมั่นคงของจิตใจ ทำให้นายเทพ โชตินุชิต ยังคงอยู่ในจิตใจของประชาชนผู้รักความเป็นธรรม
และเป็นตำนานอันสูงส่งดีงามของมนุษยธรรมที่ชาวศรีสะเกษภาคภูมิใจตลอดไป นายเทพ โชตินุชิต เป็นนักการเมืองที่มีอุดมการณ์ มีความตั้งใจจะเข้ามา แก้ไขปัญหา
ความทุกข์ยากของประชาชน มีจิตใจมั่นคง เห็นคุณค่าของการศึกษา โดยตั้งโรงเรียนราษฎร์ให้บุตรหลานชาวศรีสะเกษ ผู้อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงได้ศึกษาเล่าเรียน
คือโรงเรียนสตรีเทพวิทยา (ตั้งอยู่บริเวณหน้าสถานีรถไฟศรีสะเกษ – ล้มเลิกไปแล้ว) โรงเรียนเทพวิทยาใต้ (ตั้งอยู่ที่วัดหลวงสุมังคลาราม) และโรงเรียนเทพวิทยาเหนือ
(ตั้งอยู่ที่วัดพระโต) โรงเรียนที่มีที่ตั้งในวัดดังกล่าว ได้ตกเป็นของวัดหลังจากที่นายเทพ โชตินุชิต ถูกจับกุม เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๐๒ เนื่องจากเดินทางไปประชุมกับ
องค์การระหว่างประเทศ คือ การประชุมเอเชียอาฟริกา ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ และเป็นผู้เสนอให้ยกเลิกกฎหมายป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. ๒๔๙๕
นายเทพ โชตินุชิต ถูกปล่อยตัวจากคุกลาดยาวพร้อมกับนายทองใบ ทองเปาด์ นายเปลื้อง วรรณศรี และนายพรชัย แสงชัจจ์ ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๐๙ แม้การดำเนินการ
ทางการเมืองของนายเทพ โชตินุชิต จะมีอุปสรรค ถูกกล่าวหากระทั่งถูกจับกุมคุมขังในข้อหากบฏและมีการกระทำอันเป็น คอมมิวนิสต์ แต่จิตใจนักต่อสู้ของประชาชนก็มิได้
ย่อท้อ ได้เป็นแกนนำในการต่อสู้ทางกฎหมายและปลุกปลอบให้ขวัญกำลังใจแก่เพื่อนร่วม คุกในการต่อสู้คดีจนกระทั่งพ้นโทษในที่สุดหลังจากนั้น นายเทพ โชตินุชิต
ได้เข้าร่วมกับการเคลื่อนไหวของพี่น้องประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยตลอด มา และมีความตั้งใจที่จะทำงานรับใช้ประชาชนจนวาระสุดท้าย ของชีวิต จนกระทั่ง
ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๑๗ ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รวมอายุ ๖๗ ปี นายเทพ โชตินุชิต นับเป็นแบบอย่าง ของนักการเมืองที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต และเห็น
ความสำคัญในการจัดการศึกษาแก่เยาวชนศรีสะเกษในอดีต








นายสวัสดิ์ มหาผล
     นายสวัสดิ์  มหาผล  เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๔ เป็นบุตรคนแรกของนายผึ้ง – นางพวง มหาผล มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๙ คน เริ่มการศึกษาเบื้องต้น ที่จังหวัดศรีสะเกษ
และได้เดินทางไปศึกษาที่กรุงเทพมหานคร เมื่ออายุ ๑๐ ขวบ โดยต้องเดินทางด้วยเกวียนจากจังหวัดศรีสะเกษ ถึงจังหวัดนครราชสีมา ใช้เวลาเดินทาง ๑๒ วัน จึงขึ้นรถไฟ
ต่อไปยังกรุงเทพมหานคร เข้าเป็นนักเรียนประจำของโรงเรียนอัสสัมชัญ ๓ ปี แล้วย้ายไปเรียนที่  โรงเรียนแซนต์คราเบรียล จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๘ คุณพ่อต้องการให้
เรียนแพทย์เพื่อกลับมาช่วยชาวศรีสะเกษ สามารถสอบเข้าศึกษาแพทย์ และสอบชิงทุนไปศึกษาวิชาวนศาสตร์ที่ประเทศพม่าได้พร้อมกัน จึงตัดสินใจเรียนวนศาสตร์
จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และกลับมารับราชการในกรมป่าไม้ โดยใช้ชีวิตราชการอยู่ในเขตภาคเหนือทั้งหมด ตำแหน่งสุดท้ายในชีวิตราชการ เป็นป่าไม้
เขตภาคเหนือ แล้วลาออกมา ทำงานที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ในตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การป่าไม้ภาคเหนือ ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ผลงานเด่น คือ โครงการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม โดยได้เริ่มพระราชบัญญัติ
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นแห่งแรก และขยายงานด้านป่าสงวนออกไปทั่วประเทศ เป็นผลให้สามารถรักษาเนื้อที่ป่าของประเทศไทยส่วนหนึ่งไว้ได้จนถึงปัจจุบัน






บุคคลสำคัญทางวัฒนธรรม

     จังหวัดศรีสะเกษเป็นจังหวัดที่มีความ หลากล้วนทางวัฒนธรรม เนื่องจากมี ประชากรอยู่ ๔ เผ่า คือ ลาว เขมร ส่วย เยอ จึงมีขนบธรรมเนียมประเพณี
การปฏิบัติที่หลากหลาย ตั้งแต่การดำรงชีวิตประะจำวัน การประกอบศาสนพิธี ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี งามบางอย่างค่อยๆ สูญหายไป เนื่องจากการ
รับเอาวัฒนธรรมทางภาคกลาง และโลกตะวันตก เข้ามาแทนที่ แต่อย่างไรก็ตามยังมีความพยายามอนุรักษ์และฟื้นฟูวัฒนธรรมอัน ดีงามไว้บุคคลสำคัญ
ที่ควรค่าแก่การยกย่อง มีดังนี้



นายบุญชง  วีสมหมาย
     นายบุญชง  วีสงหมาย  เกิดเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๔ อยู่บ้านเลขที่ ๙๙๙/๗ ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมือง
จังหวัดศรีสะเกษ อาชีพนักการเมือง การศึกษาระดับปริญญาตรี มีความรู้ ความสามารถเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ
และสังคม อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสมัยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี  นายบุญชง วีสมหมาย
เป็นอดีตวุฒิสมาชิก เป็น ส.ส.ศรีสะเกษ  และนายกสมาคมกีฬาจังหวัดศรีสะเกษ เสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน
พ.ศ.๒๕๔๖




ร้อยโท ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง

     ร้อยโท ดร.กุเทพ ใสกระจ่าง เป็นชาวจังหวัดศรีสะเกษ ผู้มีความอุตสาหะพยายามในการศึกษา จากลูกชาวนา ได้อาศัย
ร่มกาสาวพัสตร์บวชเรียน จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท M.A. จากต่างประเทศ ปริญญาเอกจากสถาบันบัณฑิต-
พัฒนบริหารศาสตร์ เข้ารับราชการเป็นนายทหารการข่าว และข้าราชการ กรมประชาสัมพันธ์ ผู้ประกาศสถานีวิทยุโทรทัศน์
N H K ประเทศญี่ปุ่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ต่อมา ได้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้เป็นสมาชิก
สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๕ และวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ นับเป็นผู้มีบทบาทในการอภิปราย
ในสภาผู้แทนราษฎร และใช้ภาษาไทยได้ถูกต้องในด้านการออกเสียง รวมทั้งมีบทบาทในการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย
โดยการใช้หมอลำในการปราศรัยหาเสียงหรือการไปร่วมงานประเพณีท้องถิ่น จะขึ้นร้องลำเพลงหมอลำที่แสดงออกถึง
เอกลัษณ์ของจังหวัดศรีสะเกษทุกครั้ง


    
     

ดร.นันทสาร  สีสลับ
      ดร.นันทสาร  สีสลับ อายุ ๖๓ ปี เกิดที่บ้านเลขที่ ๑๐ หมู่ที่ ๖ บ้านโนนค้อ ตำบลอีหล่ำ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัด
ศรีสะเกษ ปัจจุบันเป็นข้าราชการ บำนาญ การศึกษาสูงสุดระดับปริญญาเอก (Ed.D.) มีความรู้ ความสามารถหรือ
ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และวัฒนธรรม ปัจจุบันเป็นประธานองค์การ CIOFF ประเทศไทยในระดับ
นานาชาติ มีผลงานดีเด่นที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและท้องถิ่น คือ มีผลงานในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ
และระดับนานาชาติ ได้แก่ เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาวัด และหมู่บ้านโนนเปือย-โนนค้อ เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ก่อตั้ง
มูลนิธิคุณแม่บุปผา ไผทฉันท์ เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน ปี ๒๕๒๙ สนับสนุนจัดตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนก
สามัญ ณ วัดสระกำแพงใหญ่ เพื่อเปิดโอกาสให้ พระภิกษ- สามเณร ได้ศึกษา ทั้งทางโลกและทางธรรม ก่อตั้งมูลนิธิ
พระเทพวรมุนี (เสน ปัญญาวชิโร) วัดมหาพุทธาราม ปี ๒๕๓๘ สนับสนุนการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ
และขยายครบทุกอำเภอ ในระดับชาติเป็นเลขานุการ และผู้ดำเนินการโครงการจัดหาพระพุทธรูป ประจำสถานศึกษา
ของกระทรวงศึกษาธิการ เลขานุการและผู้ดำเนินการ ปีรณรงค์และสืบสานวัฒนธรรมไทย ปี ๒๕๓๗-๒๕๔๐ ริเริ่ม
การกระจายอำนาจการดำเนินงานวัฒนธรรมสู่ท้องถิ่นในรูปสภาวัฒนธรรม ตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ ในระดับนานาชาติ
เป็นผู้แทนประเทศไทย ในความร่วมมือทางด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมกับต่างประเทศ เลขาธิการ
องค์การส่งเสริมวัฒนธรรมพื้นบ้านภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค (CIOFF-Asia) เลขาธิการกิตติมศักดิ์องค์การ พุทธศาสนิกสัมพันธ์ แห่งโลก (พ.ส.ส.)
ซึ่งมีสมาชิก ๑๓๕ ศูนย์ภาคี ใน ๓๗ ประเทศทั่วโลก



นายสามศร  ณ  เมืองศรี
     นายสามศร  ณ  เมืองศรี  เป็นชาวศรีสะเกษโดยกำเนิด ถึงแก่กรรมแล้ว เป็น ผู้บุกเบิกการร้องเพลงในรุ่นแรกของศรีสะเกษ โดยการอัดแผ่นเสียง
ของตนเอง ด้วยเพลงที่มีชื่อเสียงหลายเพลง ซึ่งควรมีการรื้อฟื้นนำมาขับร้องใหม่


    
นางฉันทนา กิตติพันธ์
      นางฉันทนา  กิตติพันธ์   เคยมีภูมิลำเนาและเรียนหนังสือที่จังหวัดศรีสะเกษ ในวัยเด็กเป็นนักร้อง นักแสดง
เพลงที่มีชื่อเสียง คือเพลงข้าวนอกนา ต่อมาเป็นนักแสดงในละครโทรทัศน์ และเป็นผู้จัดรายการ โดยมีบุตรสาว
เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงด้วย คือ นางสาวเสาวลักษณ์ ลีลาบุตร หรือ แอม











นกน้อย อุไรพร

      นกน้อย  อุไรพร เดิมชื่อ อุไร  สีหะวงษ์  เกิดเมื่อวัน ที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่บ้านจอม  ตำบลบึงบอน อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ

ผลงาน-ความสามารถ
  เป็นเจ้าของวงดนตรเสียงอีสาน  ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นวงดนตรีหมอลำลูกทุ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไทย ต่อเนื่องยาวนานหลายปี ดนตรี
วงนี้นำการแสดงและบริหารงานโดยนกน้อย  อุไรพร หรือ อุไร  สีหะวงษ์ ซึ่งเป็น ชาวจังหวัดศรีสะเกษที่ต่อสู้ชีวิตด้วยความมานะบากบั่นจนประสบ
ความสำเร็จอย่างสูงยิ่ง แม้การแสดงบนเวทีการอัดแผ่นเสียง บันทึกเสียงหรือ บันทึกการแสดง ได้รับความชื่นชมจากทุกภูมิภาคเกิดจากผู้หญิงตัวเล็กๆ
ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น ได้สร้างนักร้องประจำวงที่มีชื่อเสียง จำนวนมาก เช่น ลูกแพร อุไรพร ไหมไทย อุไรพร  ปอยฝ้าย  มาลัยพร ๔ ดาวรุ่ง
ลุงยง ยายแหลม
     นกน้อย  อุไรพร  เป็นคนกตัญญู  ทุกปีจะบริจาคเงินเพื่อสาธารณประโยชน์ และกลับมาทำบุญที่บ้านไม่เคยขาด เช่น สร้างศาลาหลวงพ่อโต
วัดจอมพระ บริจาคเพื่อการศึกษา สาธารณสุข และอื่นๆ อยู่เป็นประจำ นับว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ชาวศรีสะเกษควรภาคภูมิใจ
เกียรติคุณที่ได้รับ   ได้รับพระราชทานเข็มกลัดทองคำจากพระหัตถ์ของพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร  ในผลงานเพลง "ภาพถ่ายวิญญาณรัก"





นายยิ่งยง ยอดบัวงาม

      ยิ่งยง  ยอดบัวงาม  เดิมชื่อ นายประยงค์  บัวงาม เกิดเมื่อวัน ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๐๕ ที่บ้านโคกโพน หมู่ที่ ๑ ตำบลกันทรารมย์ อำเภอขุขันธ์ 
จังหวัดศรีสะเกษ
ผลงาน-ความสามารถ  เป็นผู้ที่มีความสามารถด้านการร้องเพลงและการแสดง  เข้าอยู่ในวงการเพลงลูกทุ่งเป็นเวลานานถึง ๒๔ ปีแล้ว 
เพลงที่สร้าง ชื่อเสียงคือ สมศรี ๑๙๙๒  และมีผลงานที่สำคัญสร้างชื่อเสียงมากมาย ทั้งงานเพลง งานละคร และภาพยนตร์





สุดา  ศรีลำดวน
     สุดา  ศรีลำดวน   เป็นชาวบ้านโนนดู่  ตำบลหนองไฮ  อำเภอเมือง  จังหวัดศรีสะเกษ
ผลงาน-ความสามารถ  สุดา  ศรีลำดวน  มีความสามารถในการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะความยากจน จึงไม่ได้เรียนต่อ เมื่อจบชั้น ประถมศึกษา
ปีที่ ๖ จึงต้องไปทำงานรับจ้างที่กรุงเทพฯ เป็นคนสู้ชีวิต อดทน มุ่งมั่น และมีความกตัญญูต่อสู้ชีวิตจนได้ดี
     สุดา  ศรีลำดวน  เป็นนักร้องมีผลงานเพลงมากมาย เช่น ชุดน้าเขย ชุดหล่อ คักคัก ชุดน้องเมีย เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นนักแสดงด้วยเช่น
แสดงภาพยนตร์เรื่อง ผาแดงนางไอ่  ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เมื่อพอมีฐานะมั่น คง  จึงได้เปิดร้านคาราโอเกะเล็กๆ แถวหนองแขม ฝั่งธนบุรีขายอาหารอีสาน
ให้แก่พี่น้องชาวอีสานลูกค้าทั่วไป
    สุดา  ศรีลำดวน  มีความภาคภูมิใจในความเป็นชาวศรีสะเกษที่ต่อสู้ชีวิตด้วย ความมุมานะ บากบั่น  ซื่อสัตย์ และอดทน  จนก้าวพ้นปัญหาได้



นางเจียมใจ  พรหมคุณ
     นางเจียมใจ  พรหมคุณ  ผู้สืบสานวัฒนธรรมไทย ผ้าไหมบึงบูรพ์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ณ
บ้านเป๊าะ ตำบลบึงบูรพ์ อำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นบุตรของนายศรี และนางเกิด บุญปัญญา มีพี่น้อง
ร่วมบิดา มารดา ๘ คน สมรสกับนายคลัง พรหมคุณ (ถึงแก่กรรม พ.ศ. ๒๕๒๕) มีบุตร – ธิดา ๖ คน) การศึกษา
จบการศึกษาวุฒิอาชีวต้น (ม.๓) แผนกช่างทอเย็บเสื้อผ้า จากโรงเรียนการช่างสตรี (ศ.ก. ๕) จังหวัดศรีสะเกษ
พ.ศ. ๒๔๘๖ ผลงาน ด้วยใจรักในด้านหัตถกรรม กอปรกับความสนใจด้านการถึกทอ โดยเฉพาะการทอผ้าไหม
ของบรรพบุรุษชาวบึงบูรพ์ ทำให้นางเจียมใจ ได้รับการถ่ายทอดการทอผ้าไหมจาก นางบุญเย็น (คุณยาย) และ
นางเกิด บุญปัญญา (มารดา) และเริ่มทอผ้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้ศึกษาดูงานหลายแห่ง สนใจเรียนรู้และ
พัฒนาฝีมือตามลำดับ สามารถรังสรรค์งาน อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมชาวบึงบูรพ์ไว้ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
และได้รับพระราชทาน ใบประกาศเกียรติคุณ และสร้อยคอทองคำจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรม-
ราชินีนาถ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๗
ผลงานดีเด่น
๑. รางวัลที่ ๑ การประกวดผ้าไหม ในงาเทศกาลปีใหม่ และงานกาชาดจังหวัดศรีสะเกษ ประจำปี ๒๕๒๔
๒. รางวัลที่ ๑ การประกวดผ้าไหมมัดหมี่พันธุ์ลายต้นสน ในงานกาชาดจังหวัดศรีสะเกษ ประจำปี ๒๕๓๒
๓. รางวัลที่ ๑ การประกวดผ้าไหมมัดหมี่ ในงานเทศกาลดอกลำดวน จังหวัดศรีสะเกษ ประจำปี ๒๕๓๔
๔. ได้รับคัดเลือกเป็นแม่ดีเด่น ของจังหวัดศรีสะเกษ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๖
๕. รางวัลที่ ๓ การประกวดคุณภาพผ้าไหม จังหวัดศรีสะเกษ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๗

๖. รางวัลที่ 1 การประกวดผ้าไหม ในงานชุมนุมสตรีเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๗)
๗. รางวัลพระราชทานอันดับที่ ๑ ประเภทผ้าไหมหางกระรอก ในงานประกวดผ้าไหมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ ตำหนักภูพานราชนิเวศน์
(๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๗)
๘. นายนิวัฒน์ ภูมิวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ ที่อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ บิดามารดาชื่อ นายจันทร์ – นางหล้า ภูมิวงศ์ ภายหลังบิดาพา
อพยพกลับไปตั้งรากฐาน ณ ภูมิลำเนาเดิมของมารดา คือที่บ้านหัวเมือง ตำบลหัวเมือง อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดยโสธร)
เรียนจบชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านหัวเมือง อำเภอมหาชนะชัย แล้วเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ (ประถมศึกษาปีที่ ๕ ในปจจุบัน) ที่โรงเรียน
ในตัวอำเภอมหาชนะชัย ภายหลังย้ายมาเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ที่โรงเรียนเทพวิทยาใต้ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ จากนั้นได้เรียนต่อประโยค
ครูมูล (ครู ป.) ที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อจบแล้วได้สอบเข้าและบรรจุเป็นข้าราชการครูที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ต่อมาศึกษาด้วยตนเอง
สอบได้ พ.ป. และ พ.ม. (รวมชุดวิชาภาษาอังกฤษด้วย) หลังจากนั้นได้รับแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนบ้านกระเดา อำเภอราษีไศล จังหวัด
ศรีสะเกษ ขณะเดียวกันนั้น ได้ทำการศึกษาทางไกลจนสำเร็จนิติศาสตร์บัณฑิต (น.บ.) จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ รุ่นที่ ๒ ต่อมาเมื่อปี
พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้ลาออกจากราชการ เพื่อประกอบอาชีพทนายความและในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ สอบได้ เนติบัณฑิต (น.บ.ท.) สมรสกีบนางศรีไส ภูมิวงศ์ มีบุตรชาย
๑ คน และบุตรสาว ๒ คน
ผลงานทางสังคม เป็นประธานชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๓ จนถึงปัจจุบัน เป็นผู้นำในการต่อสู้เพื่อการอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญหลายแห่ง เช่น
๑. กุดหวาย เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห้วยสำราญ อันเป็นสายเลือดหลักของจังหวัดศรีสะเกษ การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ ปปป. สั่งให้จังหวัด
เพิกถอนโฉนด เพราะพิจารณาเห็นว่าโฉนดออกไม่ถูกต้อง กล่าวคือ ไปทับที่สาธารณะประโยชน์ จากกรณีดังกล่าวทำให้นายนิวัฒน์ ภูมิวงศ์ ถูกเจ้าของ
โฉนดที่ดินฟ้องเรียกค่าเสียหาย เป็นเงิน ๕๔ ล้านบาท แต่ศาลจังหวัดศรีสะเกษ ได้พิพากษายกฟ้อง
๒. โนนบักบ้า ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ ๖๐๐ ไร่ ตั้งอยู่ชานเมืองศรีสะเกษ ด้านทิศตะวันออกของศาลากลางจังหวัด ประมาณ ๕ กิโลเมตร (ระหว่างห้วยน้ำคำกับ
ห้วยแฮด) ซึ่งเป็นที่สาธารณะประโยชน์ที่ถูกประชาชนและกลุ่มธุรกิจเข้าบุกรุกจับจอง ชมรมอนุรักษ์ฯ ซึ่งนำโดยนายนิวัฒน์ ภูมิวงศ์ และจังหวัดศรีสะเกษ
ได้เข้าขัดขวาง ในที่สุดก็สามารถกันพื้นที่ดังกล่าวได้เป็นสถานที่ที่สร้างมหาวิทยาลัย ราชภัฏศรีสะเกษ ในปัจจุบัน นอกจากนี้ นายนิวัฒน์ ภูมิวงศ์ ยังได้เข้า
ขัดขวางไม่ให้มีการบุกรุกทำลายป่าดงใหญ่ ตำบลหนองหมี อำเภอราษีไศล และป่าดงเมืองซ้าย ซึ่งเป็นป่ารอยต่อระหว่างอำเภอยางชุมน้อยกับอำเภอ
กันทรารมย์ นอกจากนี้ยังมีป่าแถบอำเภอภูสิงห์ ขุขันธ์ ขุนหาญ และกันทรลักษ์ ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำลำธารอันถูกบุกรุกอย่างรุนแรง นายนิวัฒน์ ภูมิวงศ์ และ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำการขัดขวาง ทำให้บางส่วนของผู้บุกรุกถูกจับกุมดำเนินคดี จึงทำให้เหลือผืนป่าธรรมชาติไว้เป็นมรดกของแผ่นดิน ในฐานะที่
นายนิวัฒน์ ภูมิวงศ์ มีอาชีพเป็นนักกฎหมาย และทนายความ เคยได้รับเลือกเป็นประธานชมรมศิษย์เก่ารามคำแหงฯ ประธานอนุกรรมการสภา
ทนายความประจำจังหวัดศรีสะเกษ (๒ สมัย) และอนุกรรมการสภาทนายความประจำภาค ๓ นอกจากนี้ ยังได้เป็นวิทยากรบรรยายความรู้ทางกฎหมาย
แก่ประชาชน ชมรม หรือองค์กรอื่น ๆ เป็นประจำ





นายชาญ จันทะมาศ
     นายชาญ  จันทะมาศ  ผู้สืบสานวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่น นายชาญ จันทะมาศ เป็นผู้สืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น (อีสาน) สถานีโทรทัศน์ เอน.เอส.เค.
ของประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ความสนใจบินมาถ่ายทำสารคดีถึง ๒ ครั้ง นายชาญ จันทะมาศ เกิดเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ เป็นบุตรของนายพูน-นางคำดี
โสตศิริ ต่อมาบิดามารดา ได้แยกทางกัน นางคำดีได้แต่งงานใหม่กับ จ.ส.ต.คำ จันทะมาศ นายชาญ จึงได้เปลี่ยนมาใช้นามสกุล “จันทะมาศ” ตามบิดาเลี้ยง
ทั้งนี้เพื่อสิทธิในการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน
      นายชาญ จันทะมาศ จบระดับชั้นมัธยมศึกษา จากโรงเรียนประจำจังหวัด “ขุขันธ์ราษฎร์รังรักษ์” หรือโรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย ในปัจจุบัน มีเพื่อร่วมรุ่น
คือ พลเรือเอกสุภา คชเสนีย์ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เข้าเรียนเตรียมธรรมศาสตร์และการเมือง (ตธมก. รุ่น๕) และจบปริญญาตรีได้วุฒิธรรมศาสตร์บัณฑิต (ธ.บ.)
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ประกอบอาชีพทนายความตลอดมาตั้งแต่จบการศึกษาจนถึงปัจจุบัน ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๙๕ – ๒๕๒๐ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา
เทศบาลเมืองศรีสะเกษ ได้มีการฟื้นฟูประเพณีการแห่บั้งไฟ ได้ปฏิบัติติดต่อกันมาหลายปี มีบั้งไฟจากคุ้มและอำเภอต่าง ๆ เป็นจำนวนมากในปี พ.ศ. ๒๕๑๒
และพ.ศ. ๒๕๑๕ สถานีวิทยุ เอน.เอส.เค. ของญี่ปุ่น ได้เข้ามาถ่ายทำเป็นสารคดีไปเผยแพร่ที่ประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ นายชาญ จันทะมาศ ยังเป็นผู้ริเริ่ม
นำการละเล่น “รำโทน” เข้ามาเผยแพร่ในจังหวัดศรีสะเกษเป็นคนแรก ตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษาเตรียมธรรมศาสตร์ ปัจจุบันนายชาญ จันทะมาศ เป็นที่
ปรึกษาสภาวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ






นายอิสระ  หลาวทอง
     นายอิสระ  หลาวทอง  เกิดเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๔๘๘ อายุ ๖๑ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๕ หมู่ที่ 1 ตำบลสำโรง อำเภออุทุมพรพิสัย
จังหวัดศรีสะเกษ อาชีพจิตกร จบการศึกษาวาดเขียน เอก (ว.อ.) มีความรู้ ความสามารถหรือความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการ
วาดภาพ ผลงานดีเด่นที่เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ และท้องถิ่น
ผลงานที่สำคัญ
     ได้แก่ การกำกับศิลปกรรมภาพยนต์ เรื่อง ครูบ้านนอก ได้รับรางวัลภาพยนต์ดีเด่นจากเมืองทัชเคนท์ ประเทศรัสเซีย
และเขียนภาพประวัติศาสตร์ วีรกรรมทหาร ติดตั้งที่กองบัญชาการทหารบก เขียนภาพวิถีชีวิตชนบทอีสาน เพื่อสะท้อนให้เห็น
ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอีสาน
และได้นำผลงานร่วมแสดงงานศิลปะ เพื่อการกุศลหลายแห่ง และได้รับประกาศเกียรติคุณผลงาน อาทิ
ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ร่วมงานศิลปกรรม กลุ่มจางวาง ณ โรงแรม เพชรเกษม จังหวัดสุรินทร์
ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ร่วมงานศิลปกรรมร่วมสมัย รวมใจศิลปินในวโรกาสปิยมหาราชรำลึก ที่โรงแรมอิมพิเรียลควีนปาร์ค
ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ร่วมแสดงงานจิตรกรรม บัวหลวง ครั้งที่ ๑๘
ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ร่วมแสดงงาน บี โอ ไอ แฟร์ ที่โรงแรมรอยัลพลาซ่า พัทยา
ร่วมแสดงงานมหกรรมศิลปะเฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก ฉลองสิริราชสมบัติ ครบ ๕๐ ปี ที่ซีคอนสแควร์
ร่วม แสดงงานนิทรรศการศิลปกรรมเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ สภากาชาดไทย ณ โรงแรมอิมพีเรียล ได้รับรางวัลที่ ๑
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ  ได้นำผลงานศิลปะลงตีพิมพ์ประกอบการเรียนการสอน ในหนังสือ ศิลปศึกษา ศ. ๒๐๓ - ศ.๒๐๔ ศิลปะกับชีวิต
ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้รับรางวัล เพชรน้ำดี ศรีสะเกษ จากสภาวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ
ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาจิตรกรรม เขตการศึกษา ๑๑
ร่วมแสดงนิทรรศการศิลปกรรมเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ   ครั้งที่ ๒   โรงแรมมณเทียร
ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ร่วมแสดงนิทรรศการชมรมช่างเขียนอาชีพ แห่งประเทศไทย




นายวีระพันธ์ สิมะวัฒนะ
     นายวีระพันธ์ สิมะวัฒนะ เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๓ นายวีระพันธ์ สิมะวัฒนะ เกิดเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ที่อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ บิดาชื่อ นายสิม มารดา
ชื่อ นางมอญ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๓ คน ภรรยาชื่อ นางมาลี สิมะวัฒนะ มีบุตร ๔ คน เป็นชาย ๒ คน และหญิง ๒ คน
     นายวีระพันธ์ สิมะวัฒนะ   เป็นข้าราชการบำนาญ ครั้งสุดท้ายรับราชการเป็นสรรพากรอำเภอกันทรลักษ์ ปัจจุบันมีอาชีพทำไร่นาสวนผสม ปลูกเงาะ
ทุเรียน พริกไทย มะพร้าว กล้วย มะละกอ ฝรั่ง ในเนื้อที่ ๒๑ ไร่ รวมทั้งมีบ่อปลาและบ่อกุ้งก้ามกราม จำนวน ๒๓ บ่อ เป็นผู้ริเริ่มปลูกเงาะ ทุเรียน พริกไทย
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นคนแรก พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งวิชาการสำหรับนักเรียน นักศึกษา ชาวบ้านและหน่วยงานต่าง ๆ ในการศึกษาและดูงาน
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ จนถึงปัจจุบัน นายวีระพันธ์ สิมะวัฒนะ เป็นผู้ที่ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม มีคุณธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ละอบายมุข และชักชวนให้ผู้อื่น
ปฏิบัติตาม นับว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม จึงได้รับการยกย่องและเชิดชูเกียรติ เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาการพัฒนาคุณภาพชีวิต


นายนิวัฒน์  ภูมิวงศ์  
     นายนิวัฒน์ ภูมิวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ที่อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ บิดามารดาชื่อนายจันทร์ - นางหล้า ภูมิวงศ์ ภายหลังบิดาพา
อพยพกลับไปตั้งรากฐาน ณ ภูมิลำเนาเดิมของมารดา คือที่บ้านหัวเมือง ตำบลหัวเมือง อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดยโสธร)
เรียนจบชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านหัวเมืองอำเภอมหาชนะชัย แล้วเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ ๑ (ประถมปีที่ ๕ ในปัจจุบัน) ที่โรงเรียนตัวอำเภอ
มหาชนะชัย ภายหลังย้ายมาเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ ๖ ที่โรงเรียนเทพวิทยาใต้ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ จากนั้นได้เรียนต่อประโยคครูมูล (ครู ป.)
ที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อจบแล้วได้สอบเข้าและบรรจุเป็นข้าราชการครูที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัด ศรีสะเกษ ต่อมาศึกษาด้วยตนเอง ต่อมาศึกษาด้วย
ตนเองสอบได้ พ.ป. และ พ.ม. (รวมชุดวิชาภาษาอังกฤษด้วย) หลังจากนั้นได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนบ้านกระเดา อำเภอราษีไศล
จังหวัดศรีสะเกษ ขณะเดียวกันนั้นได้ทำการศึกษาทางไกลจนสำเร็จนิติศาสตร์บัณฑิต (น.บ.) จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ รุ่นที่ ๒
ต่อมาเมื่อปี ๒๕๒๑ ได้ลาออกจากราชการเพื่อประกอบอาชีพทนายความและในปี พศ. ๒๕๑๘ สอบได้เนติบัณฑิต (น.บ.ท.) สมรสกับนางศรีไส ภูมิวงศ์
มีบุตรชาย ๑ คน และบุตรสาว ๒ คน นายนิวัฒน์ ภูมิวงศ์ เป็นประธานชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๓ จนถึง
ปัจจุบัน เป็นผู้นำในการต่อสู้เพื่อการอนุรักษ์แหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญหลาย แห่ง เช่น กุดหวาย เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ
ห้วยสำราญ อันเป็นสายเลือดหลักของจังหวัดศรีสะเกษ การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบกรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
ในวงราชการ (ป.ป.ป.) สั่งให้จังหวัดเพิกถอนกรณีดังกล่าวทำให้นายนิวัฒน์ ภูมิวงศ์ ถูกเจ้าของโฉนดที่ดินฟ้องเรียกค่าเสียหาย เป็นเงิน 5.4 ล้านบาท
แต่ศาลจังหวัดศรีสะเกษได้พิพากษายกฟ้องโนนบักบ้า ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ ๖๐๐ ไร่ ตั้งอยู่ชานเมืองศรีสะเกษด้านทิศตะวันออกของศาลากลางจังหวัด
ประมาณ ๕ กิโลเมตร (ระหว่างห้วยน้ำคำกับห้วยแฮด) ซึ่งเป็นสาธารณประโยชน์ที่ถูกประชาชน และกลุ่มธุรกิจเข้าบุกรุกจับจอง ชมรมอนุรักษ์ฯ ซึ่งนำโดย
นายนิวัฒน์ ภูมิวงศ์ และจังหวัดศรีสะเกษ ได้เข้าขัดขวาง ในที่สุดก็สามารถกันพื้นที่ดังกล่าวไว้ เป็นสถานที่สร้างสถาบันราชภัฏศรีสะเกษในปัจจุบัน
นอกจากนี้ นายนิวัฒน์ ภูมิวงศ์ ยังได้ขัดขวาง ไม่ให้มีการบุกรุกทำลาย ป่าดงใหญ่ ตำบลหนองหมี อำเภอราษีไศล และป่าดงเมืองซ้าย ซึงเป็นป่ารอยต่อ
ระหว่างอำเภอยางชุมน้อยกับอำเภอกันทรารมย์ ตลอดจนปาแถบอำเภอภูสิงห์ ขุขันธ์ ขุนหาญ และกันทรลักษ์ ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำลำธารอันถูกบุกรุก
อย่างรุนแรง นายนิวัฒน์ ภูมิวงศ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำการขัดขวางทำให้บางส่วนของผู้บุกรุก ถูกจับ กุมดำเนินคดี จึงทำให้คงเหลือผืนป่า
ธรรมชาติไว้เป็นมรดกของท้องถิ่นสืบไป






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น