ศรีสะเกษเมืองแห่งเผ่าชนหลากล้วนวัฒนธรรม
![]() |
ส่วย
ส่วย เดิมคนทั่วไปจะเรียกว่า “กวย” “กุย” หรือ “ข่า” หลักฐานจากกฏหมายอยุธยาฉบับ พ.ศ. ๑๙๗๔ได้ระบุว่า พ่อค้าจากดินแดนใกล้เคียงที่เดินทาง
มาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ อินเดีย มาเลย์ ชานุ (ไทยใหญ่) แกน กวย และอื่น ๆ หลักฐานนี้เป็นหลักฐานชั้นต้นชิ้นแรกที่กล่าวถึงชาวกวย ชาวกวย
เรียกตนเองว่า กวย หรือกุย หรือกูย ตามภาษาพูดของตน และจากหลักฐานในพงศาวดารเมืองละแวก ได้กล่าวถึงกษัตริย์ของเขมร ในช่วงครึ่งหลัง
พุทธศตวรรษที่ ๒๐ว่า ได้ทรงขอให้เจ้ากวยแห่งตะบองขะมุมที่มีเมืองสำคัญทางตอนใต้ของเมืองจำปา ศักดิ์ ส่งทหารไปช่วยปราบกบฏ เมื่อกองทัพของ
พระเจ้าธรรมราชแห่งนครธมและเจ้ากวยแห่งตะบองขะมุมได้ปราบกบฏสำเร็จ ประมุขทั้งสองฝ่ายก็ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ จึงกล่าวได้ว่าชนชาวกวย
เคยมีการปกครองแบบอิสระ เคยส่งทูตมาค้าขายกับราชสำนักอยุธยา ช่วยกษัตริย์เขมรในการปราบกบฏ และอยู่ภายใต้การปกครองของเขมรเรื่อยมา
ชาวกวยได้มีการอพยพไปในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ดินแดนตอนเหนือของเขมรและตอนใต้ ของลาวอยู่เสมอ เดิมถิ่นฐานของชาวกวยตั้งอยู่ทางตอนเหนือ
ของเมืองกำปงธมในเขมร ต่อมาได้เกิดแผ่นดินไหว ทำให้ชนชาวกวยอพยพขึ้นเหนือเข้าสู่เขตลาวแถบแคว้นจำปาศักดิ์ แต่ต้องประสบภาวะน้ำท่วม
อยู่แทบทุกปี เหตุผลอีกประการหนึ่งคือการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง เมื่อเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรได้สถาปนาอาณาจักรจำปาศักดิ์ขึ้น
(แคว้นจำปาศักดิ์) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ชาวกวยที่อยู่ในเขตนครจำปาศักดิ์จึงได้อพยพหนีภัยทางการเมือง ข้ามแม่น้ำโขงเข้าสู่ภาคอีสานทาง
แก่งสะพือ ซึ่งเดิมเรียกตามภาษากวยว่า แก่งกระชัยผึด (แก่งงูใหญ่) ในเขตอำเภอโขงเจียม (โพงเจียง-ฝูงช้าง) แล้วแยกกันไปตั้งบ้านเรือนที่บ้าน
นากอนจอ (บ้านนาลูกหมา) ซึ่งปัจจุบันนี้คืออำเภอวารินชำราบ บ้านเจียงอี (บ้านช้างป่วยหรือช้างเจ็บ) ในเขตอำเภอเมืองศรีสะเกษในปัจจุบัน เกี่ยวกับ
ชุมชนหรือหมู่บ้านชาวกวยที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในเขตอีสานใต้ พอสรุปได้ว่าในสมัย สมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) พระยาช้างเผือก
แตกออกจากโรงช้างหนีเข้าป่ามาทางเขตเมือง พิมายด้านตะวันออก พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาได้โปรดเกล้าฯ ให้ทหารออกติดตาม จนถึงเขตชุมชน
ชาวกวย ที่บ้านหนองกุดหวาย บ้านเมืองที บ้านโคกอัจจปะนึง และบ้านดงลำดวน หัวหน้าหมู่บ้านเหล่านี้ คือ เชียงสี เชียงปุม เชียงฆะ ตากะจะ และ
เชียงขัน ตามลำดับป็นญาติพี่น้องกันและไปมาหาสู่กัน อยู่เสมอ แม้จะอยู่ห่างไกลกัน ชาวกวยมีความชำนาญในการเดินป่า และล่าสัตว์ ดังเช่นการ
คล้องช้างซึ่งได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน หัวหน้าหมู่บ้านและทหารจึงได้ออกติดตามพระยาช้างเผือกได้ ในเขตเมืองนครจำปาศักดิ์ด้านตะวันตก
ต่อมาหัวหน้าหมู่บ้านดังกล่าว ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “หลวง” และได้เลื่อนเป็น “พระ” พร้อมทั้งยกบ้านขึ้นเป็น “เมือง” บ้านหนองกุดหวายเป็น
เมืองรัตนบุรี ให้หลวงศรีนครเตา เป็นพระศรีนครเตา บ้านคูปะทายเป็นเมืองสุรินทร์ ให้หลวงสุรินทร์ภักดี เป็นพระสุรินทร์ภักดี ศรีณรงค์จางวาง
บ้านโคกอัจจปะนึงเป็นเมืองสังฆะ ให้หลวงเพชร เป็นพระสังฆะบุรี บ้านดงลำดวน เป็นเมืองขุขันธ์ ให้หลวงแก้วสุวรรณ เป็นพระไกรภักดี ศรีนครลำดวน เมืองขุขันธ์อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเมืองพิมาย และเมืองนครราชสีมาในเวลาต่อมา พระไกรภักดีศรีนครลำดวนซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านดงลำดวน
เล็งเห็นว่าชัยภูมิไม่เหมาะสมเพราะกันดารน้ำ จึงได้อพยพไปบ้านแตระ (บริเวณอำเภอขุขันธ์ปัจจุบัน)เพราะมีน้ำอุดมสมบูรณ์ดี ชุมชนในเขต
หัวเมืองเขมร ป่าดงได้รักษาวัฒนธรรมของตนเอง มีการไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ เมื่อชาวเขมรและชาวลาว ได้อพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตนี้
วัฒนธรรมเขมรและชาวลาวจึงค่อยๆ มีอิทธิพลเหนือวัฒนธรรมชาวกวยในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบันนี้ พวกส่วยกระจายอยู่ตามพื้นที่อำเภอต่าง ๆ
ในจังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอน้ำเกลี้ยง อำเภอวังหิน อำเภอกันทรารมย์ อำเภอศรีรัตนะ อำเภอไพรบึง อำเภอขุขันธ์ อำเภอปรางค์กู่
อำเภอห้วยทับทัน เป็นต้น
การแต่งกาย ผู้ชายจะแต่งกายด้วยเสื้อคอกลมผ่าหน้า นุ่งโสร่งสีสันต่าง ๆ หรือกางเกงขาก๊วยสั้น ผ้าขาวม้าคาดเอวหรือคล้องไหล่ ผู้หญิง จะนุ่งผ้าถุง
มีเชิงหรือไม่มี กระดุมทำด้วยเงิน เสื้อแขนกระบอกสีสันต่าง ๆ ผ้าเบี่ยงเป็นผ้าขาวม้าหรือผ้าลายลูกแก้วสีครีมดำ
ศิลปวัฒนธรรม
ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของชาวส่วย ในปัจจุบันมีลักษณะใกล้เคียงกับขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมชาวไทยอีสานและ
ชาวเขมร อาจแตกต่างจากชาวไทยอีสานบ้าง แต่ไม่เด่นชัดมากนัก ที่เด่นชัดคือมีภาษาพูดและการนับเลขเป็นของตัวเอง แต่ไม่มีอักษรและตัวเลข
ของตนเอง นอกจากนี้ยังมีประเพณียะจั๊วะ (บางหมู่บ้านเรียกว่าผีฟ้าผีแถน)
ส่วย เดิมคนทั่วไปจะเรียกว่า “กวย” “กุย” หรือ “ข่า” หลักฐานจากกฏหมายอยุธยาฉบับ พ.ศ. ๑๙๗๔ได้ระบุว่า พ่อค้าจากดินแดนใกล้เคียงที่เดินทาง
มาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ อินเดีย มาเลย์ ชานุ (ไทยใหญ่) แกน กวย และอื่น ๆ หลักฐานนี้เป็นหลักฐานชั้นต้นชิ้นแรกที่กล่าวถึงชาวกวย ชาวกวย
เรียกตนเองว่า กวย หรือกุย หรือกูย ตามภาษาพูดของตน และจากหลักฐานในพงศาวดารเมืองละแวก ได้กล่าวถึงกษัตริย์ของเขมร ในช่วงครึ่งหลัง
พุทธศตวรรษที่ ๒๐ว่า ได้ทรงขอให้เจ้ากวยแห่งตะบองขะมุมที่มีเมืองสำคัญทางตอนใต้ของเมืองจำปา ศักดิ์ ส่งทหารไปช่วยปราบกบฏ เมื่อกองทัพของ
พระเจ้าธรรมราชแห่งนครธมและเจ้ากวยแห่งตะบองขะมุมได้ปราบกบฏสำเร็จ ประมุขทั้งสองฝ่ายก็ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ จึงกล่าวได้ว่าชนชาวกวย
เคยมีการปกครองแบบอิสระ เคยส่งทูตมาค้าขายกับราชสำนักอยุธยา ช่วยกษัตริย์เขมรในการปราบกบฏ และอยู่ภายใต้การปกครองของเขมรเรื่อยมา
ชาวกวยได้มีการอพยพไปในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ดินแดนตอนเหนือของเขมรและตอนใต้ ของลาวอยู่เสมอ เดิมถิ่นฐานของชาวกวยตั้งอยู่ทางตอนเหนือ
ของเมืองกำปงธมในเขมร ต่อมาได้เกิดแผ่นดินไหว ทำให้ชนชาวกวยอพยพขึ้นเหนือเข้าสู่เขตลาวแถบแคว้นจำปาศักดิ์ แต่ต้องประสบภาวะน้ำท่วม
อยู่แทบทุกปี เหตุผลอีกประการหนึ่งคือการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง เมื่อเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรได้สถาปนาอาณาจักรจำปาศักดิ์ขึ้น
(แคว้นจำปาศักดิ์) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ชาวกวยที่อยู่ในเขตนครจำปาศักดิ์จึงได้อพยพหนีภัยทางการเมือง ข้ามแม่น้ำโขงเข้าสู่ภาคอีสานทาง
แก่งสะพือ ซึ่งเดิมเรียกตามภาษากวยว่า แก่งกระชัยผึด (แก่งงูใหญ่) ในเขตอำเภอโขงเจียม (โพงเจียง-ฝูงช้าง) แล้วแยกกันไปตั้งบ้านเรือนที่บ้าน
นากอนจอ (บ้านนาลูกหมา) ซึ่งปัจจุบันนี้คืออำเภอวารินชำราบ บ้านเจียงอี (บ้านช้างป่วยหรือช้างเจ็บ) ในเขตอำเภอเมืองศรีสะเกษในปัจจุบัน เกี่ยวกับ
ชุมชนหรือหมู่บ้านชาวกวยที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในเขตอีสานใต้ พอสรุปได้ว่าในสมัย สมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) พระยาช้างเผือก
แตกออกจากโรงช้างหนีเข้าป่ามาทางเขตเมือง พิมายด้านตะวันออก พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาได้โปรดเกล้าฯ ให้ทหารออกติดตาม จนถึงเขตชุมชน
ชาวกวย ที่บ้านหนองกุดหวาย บ้านเมืองที บ้านโคกอัจจปะนึง และบ้านดงลำดวน หัวหน้าหมู่บ้านเหล่านี้ คือ เชียงสี เชียงปุม เชียงฆะ ตากะจะ และ
เชียงขัน ตามลำดับป็นญาติพี่น้องกันและไปมาหาสู่กัน อยู่เสมอ แม้จะอยู่ห่างไกลกัน ชาวกวยมีความชำนาญในการเดินป่า และล่าสัตว์ ดังเช่นการ
คล้องช้างซึ่งได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน หัวหน้าหมู่บ้านและทหารจึงได้ออกติดตามพระยาช้างเผือกได้ ในเขตเมืองนครจำปาศักดิ์ด้านตะวันตก
ต่อมาหัวหน้าหมู่บ้านดังกล่าว ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “หลวง” และได้เลื่อนเป็น “พระ” พร้อมทั้งยกบ้านขึ้นเป็น “เมือง” บ้านหนองกุดหวายเป็น
เมืองรัตนบุรี ให้หลวงศรีนครเตา เป็นพระศรีนครเตา บ้านคูปะทายเป็นเมืองสุรินทร์ ให้หลวงสุรินทร์ภักดี เป็นพระสุรินทร์ภักดี ศรีณรงค์จางวาง
บ้านโคกอัจจปะนึงเป็นเมืองสังฆะ ให้หลวงเพชร เป็นพระสังฆะบุรี บ้านดงลำดวน เป็นเมืองขุขันธ์ ให้หลวงแก้วสุวรรณ เป็นพระไกรภักดี ศรีนครลำดวน เมืองขุขันธ์อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเมืองพิมาย และเมืองนครราชสีมาในเวลาต่อมา พระไกรภักดีศรีนครลำดวนซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านดงลำดวน
เล็งเห็นว่าชัยภูมิไม่เหมาะสมเพราะกันดารน้ำ จึงได้อพยพไปบ้านแตระ (บริเวณอำเภอขุขันธ์ปัจจุบัน)เพราะมีน้ำอุดมสมบูรณ์ดี ชุมชนในเขต
หัวเมืองเขมร ป่าดงได้รักษาวัฒนธรรมของตนเอง มีการไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ เมื่อชาวเขมรและชาวลาว ได้อพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตนี้
วัฒนธรรมเขมรและชาวลาวจึงค่อยๆ มีอิทธิพลเหนือวัฒนธรรมชาวกวยในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบันนี้ พวกส่วยกระจายอยู่ตามพื้นที่อำเภอต่าง ๆ
ในจังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอน้ำเกลี้ยง อำเภอวังหิน อำเภอกันทรารมย์ อำเภอศรีรัตนะ อำเภอไพรบึง อำเภอขุขันธ์ อำเภอปรางค์กู่
อำเภอห้วยทับทัน เป็นต้น
การแต่งกาย ผู้ชายจะแต่งกายด้วยเสื้อคอกลมผ่าหน้า นุ่งโสร่งสีสันต่าง ๆ หรือกางเกงขาก๊วยสั้น ผ้าขาวม้าคาดเอวหรือคล้องไหล่ ผู้หญิง จะนุ่งผ้าถุง
มีเชิงหรือไม่มี กระดุมทำด้วยเงิน เสื้อแขนกระบอกสีสันต่าง ๆ ผ้าเบี่ยงเป็นผ้าขาวม้าหรือผ้าลายลูกแก้วสีครีมดำ
ศิลปวัฒนธรรม
ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของชาวส่วย ในปัจจุบันมีลักษณะใกล้เคียงกับขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมชาวไทยอีสานและ
ชาวเขมร อาจแตกต่างจากชาวไทยอีสานบ้าง แต่ไม่เด่นชัดมากนัก ที่เด่นชัดคือมีภาษาพูดและการนับเลขเป็นของตัวเอง แต่ไม่มีอักษรและตัวเลข
ของตนเอง นอกจากนี้ยังมีประเพณียะจั๊วะ (บางหมู่บ้านเรียกว่าผีฟ้าผีแถน)
![]() |
เขมร
อินธิพลทางการเมืองและวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ของเขมร ได้ขยายเข้าสู่ดินแดนจังหวัดศรีสะเกษ ในสมัยเขมรพระนคร (พุทธศตวรรษที่ 16-18)
การขยายอิทธิพลทางการเมืองของเขมร ในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ (พ.ศ.๑๕๔๕-๑๕๙๓) พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๖๑)
เป็นสมัยที่ชาวเขมรได้เข้ามาอยู่ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ เพราะกษัตริย์เขมรได้เกณฑ์ชาวเขมร จากประเทศเขมรและชาวกวยในเขตอีสานใต้
ให้เป็นผู้สร้าง ปราสาทและสร้างเมืองในเขตอีสาน นอกจากนี้ประชาชนยังถูกบังคับให้สร้างถนนหนทางจากนครธม ไปยังเมืองและประเทศต่าง ๆ
ในเขตอีสานใต้ด้วย ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ได้มีการสร้างปราสาทจำนวนมาก ชาวเขมรที่ถูกเกณฑ์แรงงานจึงได้ตั้งหลักแหล่างอยู่รอบ ๆ
ปราสาทและสร้างเมืองขึ้น เช่น เมืองต่ำ (จังหวัดบุรีรัมย์) และบริเวณอื่น ๆ ทำให้วัฒนธรรมเขมรเข้าสู่อีสานใต้ วัฒนธรรมเขมรได้เข้ามามีอิทธิพล
ในหมู่ชาวกวยในเขตจังหวัดศรีสะเกษ โดยเริ่มจากการที่เมืองกำปงสวายหนีภัยการเมืองเข้ามาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๓บุตรีของออกญาเดโช ได้แต่งงาน
กับชาวเมืองสังขะ ต่อมาเจ้าเมืองสังขะได้ส่งคนเข้ามาปกครองเมืองขุขันธ์ เนื่องจากขณะนั้นเมืองขุขันธ์ไม่มีเจ้าเมือง จึงทำให้วัฒนธรรมเขมรเข้ามามี
อิทธิพลทางตอนใต้ของจังหวัดศรีสะเกษ ในปัจจุบัน และผสมกลมกลืนกับวัฒนธรรมของชาวกวยในบริเวณแถบนี้ มีการนำวัฒนธรรมเข้ามาปฏิบัติ
ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะวัฒนธรรมด้านภาษาและขนบธรรมเนียมต่าง ๆ เรียกชาวกวย ที่กลายเป็นเขมรว่า “เขมรส่วย” และเรียกกลุ่มชาวกวย
ที่อยู่ใกล้กับลาวที่ยอมรับวัฒนธรรมลาวว่า “ลาวส่วย”
การแต่งกาย
ลักษณะการแต่งกายของคนพื้นเมืองเขมร ชายแต่งกายด้วยเสื้อคอกลมผ่าหน้า นุ่งโสร่งสีสันต่าง ๆ ผ้าขาวม้าคาดเอวหรือคล้องไหล่ ผ้าขาวม้าที่ใช้ลาย
ขาวดำเล็กกว่าที่คนพื้นเมืองลาวใช้ ส่วนผู้หญิงจะแต่งกายด้วยการนุ่งผ้าถุง ลายตั้ง มีเชิงตามขวางสองชั้น ชั้นบนกว้าง ชั้นล่างแคบ ระหว่างรอยต่อคาดด้วย
สีแดง เสื้อดำย้อมด้วยมะเกลือ แขนกระบอกรัดรูป ตามรอยตะเข็บถักด้วยสีต่าง ๆ ชายเสื้อผ่าทั้งสองด้าน ยาวประมาณ ๖ นิ้ว กระดุมทำด้วยเงิน ผ้าคล้องไหล่
มีสีสันต่างๆ ผ้าคล้องคอนิยมหย่อนชายผ้าขาวมาข้างหน้า
ศิลปวัฒนธรรม
- กันตรึม เป็นวงดนตรีพื้นเมืองที่นำทำนองจังหวะ ตีโทนโจ๊ะคะครึม ครึม มาเป็นชี่อวงดนตรี เรียกว่า “กันตรีม” ซึ่งหมายถึงโทนนั่นเอง ทำนองเพลง
ของวงกันตรึมเป็นแม่บทของเพลงพื้นเมือง และการละเล่นพื้นเมืองอื่น ๆ ของชาวเขมร กันตรึมนิยมเล่นในงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน โกนจุก
บวชนาค ตลอดจนงานเทศกาลต่าง ๆ ในสมัยโบราณนั้น งานแต่งงานจะต้องมีวงกันตรึม เล่นกล่อมหอจนถือเป็นประเพณี เครื่องกันตรึม มี โทน ๑ คู่
ปี่อ้อ ๑เลา ปี่ใน ๑ เลา ฉิ่ง ๑ คู่ กรับ ๑ คู่ และฉาบ ๑ คู่ ผู้เล่นโดยทั่วไปมี ๔ คน จะเป็นชายหรือหญิงก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาย ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่ร้อง
และรำไปตามจังหวะเพลง การแต่งกายตามสบาย หากจะแต่งตามประเพณีนิยมของท้องถิ่นก็ได้ เช่น ผู้ชายใส่เสื้อคอกลม นุ่งผ้าโจงกระเบน ผ้าขาวม้า
คาดเอว ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ใส่เสื้อรัดรูปแขนกระบอก
- ตุ้มโมง เป็นดนตรีพื้นเมืองที่ใช้บรรเลงในงานศพโดยเฉพาะ เครื่องดนตรีมีฆ้องหุ่ย ๑ ใบ เป็นเครื่องดนตรีนำ ชาวเขมรถือว่าเสียงฆ้องหุ่ยเป็นเสียง
แห่งความเศร้าโศก เป็นอัปมงคล ในเรื่องของการตายนั้นจะต้องใช้เสียงฆ้องตี เพื่อบอกให้เพื่อนบ้านรู้และถือว่าเสียงอันเยือกเย็นของฆ้องหุ่ยนั้น อาจจะ
ช่วยนำดวงวิญญาณของผู้ตายขึ้นไปสู่สวรรค์ได้ การตีฆ้องหุ่ย จะตีเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้จะมีกลองเพลขนาดใหญ่ ๑ใบ ปี่ไฉน ๑ เลา ถ้าหาปี่ไฉน
ไม่ได้ก็จะใช้ปี่อ้อแทน แล้วยังมีฆ้องวงอีก ๑ วง ตุ้มโมงนี้มีทำนองการขับร้องเช่นเดียวกับเพลงกันตรึม ผู้เล่นปกติมี ๔ คน คือ คนตีฆ้องหุ่ยและกองเพล
๑ คน คนเป่าปี่ ๑ คน คนตีฆ้องวง ๑ คน คนร้อง ๑ คน การแต่งกายตามสบาย ตามธรรมเนียมนิยมไปงานศพของเขมร
- เจรียง ซันตุจ แปลว่าร้องตกเบ็ด เป็นการร้องเล่นในงานเทศกาลต่างๆ หรืองานบวชนาค ซึ่งส่วนมากจะจัดในงานวัด หนุ่ม ๆ ที่มาร่วมงานจะรวมกัน
เป็นกลุ่มและหาคันเบ็ดมา ๑ คัน เหยื่อใช้ขนมข้าวต้มมัด ผลไม้ ผูกเป็นพวง วิธีการตกเบ็ดนั้น ที่ไหนมีกลุ่มหญิงสาวนั่งรวมกันอยู่กลุ่มหนุ่ม ๆ ก็จะพากัน
ร้องรำทำเพลง ผู้ถือคันเบ็ดเป็นผู้ร้องเพลงเอง ถ้าชอบหญิงสาวคนไหนเหยื่อก็จะหย่อนเบ็ดให้เหยื่อไปอยู่หน้าสาวคนนั้น หากสาวรีบร้บเหยื่อไปก็แสดงว่า
รับรัก หลังจากเสร็จงานแล้วฝ่ายหนุ่มก็จะส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขอตามประเพณีต่อไป
- เรือมตรต แปลว่ารำตรุษ ใช้เล่นกันในวันสงกรานต์ เครื่องดนตรีมีโทน ๑ คู่ เป็นหลัก นอกจากนี้ก็มีกันแชร์ ซึ่งได้แก่เครื่องดนตรีให้จังหวะ และมีซอ
๑ คัน ขลุ่ย ๑ เลา กรับ ๑ คู่ และฉิ่ง ๑ คู่ ผู้เล่นไม่มีกำหนดว่าจะเป็นชายหรือหญิง ส่วนการแต่งกายนั้นตามสบาย จะแต่งให้สวยงามหรือตลกก็ได้ ในวงรำนั้น
มีหัวหน้ากลอนเป็นผู้ร้องนำ จะจะบทเก่า ๆ หรือแต่งขึ้นเองก็ได้ เนื้อร้องส่วนใหญ่เป็นบทอวยพรเจ้าของบ้านในวันขึ้นปีใหม่ของไทย ต่อจากนั้นจะเป็น
บทยกย่องชมเชยเจ้าบ้านหรือบทเกี้ยวพาราสี ผู้ที่มีหน้าที่สำคัญในคณะรำตรุษคือหัวหน้าตรุษ ซึ่งเป็นผู้ได้รับความนับถือจากคนในหมู่บ้าน จะเป็นผู้พา
คณะรำตรุษไปตามบ้านเรือนในหมู่บ้าน เมื่อไปถึงบ้านใด ถ้าได้รับเชิญขึ้นบ้าน เจ้าของบ้านจะต้อนรับตามธรรมเนียม ในโอกาสนี้หัวหน้าตรุษก็จะขอ
ให้เจ้าของบ้านช่วยบริจาคเงิน สิ่งของ นำไปบำรุงวัดหรือสาธารณะประโยชน์ในหมู่บ้าน รำตรุษนั้นจะรำอยู่ที่ลานบ้านจน กว่าหัวหน้าตรุษจะลาเจ้าของบ้าน
เดินทางไปบ้านอื่นต่อไป เมื่อร้องรำไปทั่วหมู่บ้านหรือกำหนดไว้แล้วว่าอาจจะเป็นหนึ่งวันหรือหลายวัน ก็ได้ หัวหน้าตรุษก็จะนำสิ่งของและเงินทองที่ชาวบ้าน
บริจาค ไปให้ผู้หลักผู้ใหญ่หรือถวายเจ้าอาวาส เพื่อนำไปบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ต่อไป
- เรือมอันเร แปลว่า รำสาก สมัยก่อนเรียกว่า ลูตอันเร เล่นกันในวันหยุดสงกรานต์ ซึ่งเรียกว่า “วันต๊อม” ชาวเขมรถือว่าวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวัน
ขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ ชาวเขมรจะพากันหยุดงาน ๓ วัน ตั้งแต่วันขึ้น ๑ ค่ำ ถึงวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ เพื่อพักผ่อนและไปทำบุญที่วัด พอถึง วันขึ้น ๑๔ค่ำ จะมี
พิธีก่อภูเขาทรายตามวัดวาอารามต่าง ๆ ทั่วไป รุ่งขึ้นวันขึ้น ๑๕ค่ำ มีการทำบุญตักบาตร และจาก วันแรม ๑ค่ำ เป็นต้นไป ตามประเพณีให้หยุดงาน ๗ วัน
จึงเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวที่รักใคร่ชอบพอกันได้พบกันด้วยการละเล่น พื้นบ้าน เครื่องดนตรี มีโทน ๑ คู่ ปี่อ้อ ๑เลา ปี่ไฉน ๑เลา ซออู้ ขนาดกลาง
๑คัน ตะโพน ๑ใบ ฉิ่ง ๑คู่ กรับ ๑คู่ ฉาบ ๑คู่ ผู้รำไม่จำกัดจำนวน ส่วนผู้เล่นดนตรีปกติมี ๔คน ส่วนการแต่งกาย ในสมัยก่อนไม่พิถีพิถัน แต่งกายตามสบาย
หากจะให้สวยงามก็จะแต่งตามประเพณีนิยมคือ ผู้ชายนุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลมแขนสั้น ผ้าขาวม้าคาดเอว 1 ผืน คล้องคอปล่อยชายไปข้างหลังอีก
๑ผืน ส่วนผู้หญิง จะนุ่งผ้าไหมปูม ภาษาเขมรเรียกว่า “ซัมป๊วตโฮล” เสื้อแขนกระบอก มีผ้าสไบห่าง ๆ พาดทับเสื้ออีกชั้นหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีเครื่องประดับ
อื่นๆ อีก
- รำแม่มด ผู้หญิงเริ่มพิธีแสดง ๑คน มีเครื่องบวงสรวง เครื่องเซ่นไหว้ ได้แก่ ดอกไม้ เหล้า ข้าวต้มมัด และเครื่องใช้อื่นๆ มีผู้ร่วมแสดงประมาณ ๑๐คน
ขึ้นไป ผู้ชายเล่นดนตรีประกอบ เครื่องดนตรี มีกลอง แคน ขลุ่ย ฉิ่ง กรับ และพิณ รำแม่มดนิยมเล่นกันในท้องถิ่นอำเภอขุขันธ์ อำเภอขุนหาญ และอำเภอ
กันทรลักษ์ เดิมในอำเภอดังกล่าวนิยมเล่นเจรียง กันตรึม อาไย และกระโน้บติงตอง ในปัจจุบันไม่นิยมเล่นมากนัก และการแสดงเหล่านี้ก็มีวิวัฒนาการ
แตกต่างไปจากเดิม
อินธิพลทางการเมืองและวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ของเขมร ได้ขยายเข้าสู่ดินแดนจังหวัดศรีสะเกษ ในสมัยเขมรพระนคร (พุทธศตวรรษที่ 16-18)
การขยายอิทธิพลทางการเมืองของเขมร ในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ (พ.ศ.๑๕๔๕-๑๕๙๓) พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๖๑)
เป็นสมัยที่ชาวเขมรได้เข้ามาอยู่ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ เพราะกษัตริย์เขมรได้เกณฑ์ชาวเขมร จากประเทศเขมรและชาวกวยในเขตอีสานใต้
ให้เป็นผู้สร้าง ปราสาทและสร้างเมืองในเขตอีสาน นอกจากนี้ประชาชนยังถูกบังคับให้สร้างถนนหนทางจากนครธม ไปยังเมืองและประเทศต่าง ๆ
ในเขตอีสานใต้ด้วย ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ได้มีการสร้างปราสาทจำนวนมาก ชาวเขมรที่ถูกเกณฑ์แรงงานจึงได้ตั้งหลักแหล่างอยู่รอบ ๆ
ปราสาทและสร้างเมืองขึ้น เช่น เมืองต่ำ (จังหวัดบุรีรัมย์) และบริเวณอื่น ๆ ทำให้วัฒนธรรมเขมรเข้าสู่อีสานใต้ วัฒนธรรมเขมรได้เข้ามามีอิทธิพล
ในหมู่ชาวกวยในเขตจังหวัดศรีสะเกษ โดยเริ่มจากการที่เมืองกำปงสวายหนีภัยการเมืองเข้ามาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๓บุตรีของออกญาเดโช ได้แต่งงาน
กับชาวเมืองสังขะ ต่อมาเจ้าเมืองสังขะได้ส่งคนเข้ามาปกครองเมืองขุขันธ์ เนื่องจากขณะนั้นเมืองขุขันธ์ไม่มีเจ้าเมือง จึงทำให้วัฒนธรรมเขมรเข้ามามี
อิทธิพลทางตอนใต้ของจังหวัดศรีสะเกษ ในปัจจุบัน และผสมกลมกลืนกับวัฒนธรรมของชาวกวยในบริเวณแถบนี้ มีการนำวัฒนธรรมเข้ามาปฏิบัติ
ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะวัฒนธรรมด้านภาษาและขนบธรรมเนียมต่าง ๆ เรียกชาวกวย ที่กลายเป็นเขมรว่า “เขมรส่วย” และเรียกกลุ่มชาวกวย
ที่อยู่ใกล้กับลาวที่ยอมรับวัฒนธรรมลาวว่า “ลาวส่วย”
การแต่งกาย
ลักษณะการแต่งกายของคนพื้นเมืองเขมร ชายแต่งกายด้วยเสื้อคอกลมผ่าหน้า นุ่งโสร่งสีสันต่าง ๆ ผ้าขาวม้าคาดเอวหรือคล้องไหล่ ผ้าขาวม้าที่ใช้ลาย
ขาวดำเล็กกว่าที่คนพื้นเมืองลาวใช้ ส่วนผู้หญิงจะแต่งกายด้วยการนุ่งผ้าถุง ลายตั้ง มีเชิงตามขวางสองชั้น ชั้นบนกว้าง ชั้นล่างแคบ ระหว่างรอยต่อคาดด้วย
สีแดง เสื้อดำย้อมด้วยมะเกลือ แขนกระบอกรัดรูป ตามรอยตะเข็บถักด้วยสีต่าง ๆ ชายเสื้อผ่าทั้งสองด้าน ยาวประมาณ ๖ นิ้ว กระดุมทำด้วยเงิน ผ้าคล้องไหล่
มีสีสันต่างๆ ผ้าคล้องคอนิยมหย่อนชายผ้าขาวมาข้างหน้า
ศิลปวัฒนธรรม
- กันตรึม เป็นวงดนตรีพื้นเมืองที่นำทำนองจังหวะ ตีโทนโจ๊ะคะครึม ครึม มาเป็นชี่อวงดนตรี เรียกว่า “กันตรีม” ซึ่งหมายถึงโทนนั่นเอง ทำนองเพลง
ของวงกันตรึมเป็นแม่บทของเพลงพื้นเมือง และการละเล่นพื้นเมืองอื่น ๆ ของชาวเขมร กันตรึมนิยมเล่นในงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน โกนจุก
บวชนาค ตลอดจนงานเทศกาลต่าง ๆ ในสมัยโบราณนั้น งานแต่งงานจะต้องมีวงกันตรึม เล่นกล่อมหอจนถือเป็นประเพณี เครื่องกันตรึม มี โทน ๑ คู่
ปี่อ้อ ๑เลา ปี่ใน ๑ เลา ฉิ่ง ๑ คู่ กรับ ๑ คู่ และฉาบ ๑ คู่ ผู้เล่นโดยทั่วไปมี ๔ คน จะเป็นชายหรือหญิงก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาย ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่ร้อง
และรำไปตามจังหวะเพลง การแต่งกายตามสบาย หากจะแต่งตามประเพณีนิยมของท้องถิ่นก็ได้ เช่น ผู้ชายใส่เสื้อคอกลม นุ่งผ้าโจงกระเบน ผ้าขาวม้า
คาดเอว ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ใส่เสื้อรัดรูปแขนกระบอก
- ตุ้มโมง เป็นดนตรีพื้นเมืองที่ใช้บรรเลงในงานศพโดยเฉพาะ เครื่องดนตรีมีฆ้องหุ่ย ๑ ใบ เป็นเครื่องดนตรีนำ ชาวเขมรถือว่าเสียงฆ้องหุ่ยเป็นเสียง
แห่งความเศร้าโศก เป็นอัปมงคล ในเรื่องของการตายนั้นจะต้องใช้เสียงฆ้องตี เพื่อบอกให้เพื่อนบ้านรู้และถือว่าเสียงอันเยือกเย็นของฆ้องหุ่ยนั้น อาจจะ
ช่วยนำดวงวิญญาณของผู้ตายขึ้นไปสู่สวรรค์ได้ การตีฆ้องหุ่ย จะตีเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้จะมีกลองเพลขนาดใหญ่ ๑ใบ ปี่ไฉน ๑ เลา ถ้าหาปี่ไฉน
ไม่ได้ก็จะใช้ปี่อ้อแทน แล้วยังมีฆ้องวงอีก ๑ วง ตุ้มโมงนี้มีทำนองการขับร้องเช่นเดียวกับเพลงกันตรึม ผู้เล่นปกติมี ๔ คน คือ คนตีฆ้องหุ่ยและกองเพล
๑ คน คนเป่าปี่ ๑ คน คนตีฆ้องวง ๑ คน คนร้อง ๑ คน การแต่งกายตามสบาย ตามธรรมเนียมนิยมไปงานศพของเขมร
- เจรียง ซันตุจ แปลว่าร้องตกเบ็ด เป็นการร้องเล่นในงานเทศกาลต่างๆ หรืองานบวชนาค ซึ่งส่วนมากจะจัดในงานวัด หนุ่ม ๆ ที่มาร่วมงานจะรวมกัน
เป็นกลุ่มและหาคันเบ็ดมา ๑ คัน เหยื่อใช้ขนมข้าวต้มมัด ผลไม้ ผูกเป็นพวง วิธีการตกเบ็ดนั้น ที่ไหนมีกลุ่มหญิงสาวนั่งรวมกันอยู่กลุ่มหนุ่ม ๆ ก็จะพากัน
ร้องรำทำเพลง ผู้ถือคันเบ็ดเป็นผู้ร้องเพลงเอง ถ้าชอบหญิงสาวคนไหนเหยื่อก็จะหย่อนเบ็ดให้เหยื่อไปอยู่หน้าสาวคนนั้น หากสาวรีบร้บเหยื่อไปก็แสดงว่า
รับรัก หลังจากเสร็จงานแล้วฝ่ายหนุ่มก็จะส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขอตามประเพณีต่อไป
- เรือมตรต แปลว่ารำตรุษ ใช้เล่นกันในวันสงกรานต์ เครื่องดนตรีมีโทน ๑ คู่ เป็นหลัก นอกจากนี้ก็มีกันแชร์ ซึ่งได้แก่เครื่องดนตรีให้จังหวะ และมีซอ
๑ คัน ขลุ่ย ๑ เลา กรับ ๑ คู่ และฉิ่ง ๑ คู่ ผู้เล่นไม่มีกำหนดว่าจะเป็นชายหรือหญิง ส่วนการแต่งกายนั้นตามสบาย จะแต่งให้สวยงามหรือตลกก็ได้ ในวงรำนั้น
มีหัวหน้ากลอนเป็นผู้ร้องนำ จะจะบทเก่า ๆ หรือแต่งขึ้นเองก็ได้ เนื้อร้องส่วนใหญ่เป็นบทอวยพรเจ้าของบ้านในวันขึ้นปีใหม่ของไทย ต่อจากนั้นจะเป็น
บทยกย่องชมเชยเจ้าบ้านหรือบทเกี้ยวพาราสี ผู้ที่มีหน้าที่สำคัญในคณะรำตรุษคือหัวหน้าตรุษ ซึ่งเป็นผู้ได้รับความนับถือจากคนในหมู่บ้าน จะเป็นผู้พา
คณะรำตรุษไปตามบ้านเรือนในหมู่บ้าน เมื่อไปถึงบ้านใด ถ้าได้รับเชิญขึ้นบ้าน เจ้าของบ้านจะต้อนรับตามธรรมเนียม ในโอกาสนี้หัวหน้าตรุษก็จะขอ
ให้เจ้าของบ้านช่วยบริจาคเงิน สิ่งของ นำไปบำรุงวัดหรือสาธารณะประโยชน์ในหมู่บ้าน รำตรุษนั้นจะรำอยู่ที่ลานบ้านจน กว่าหัวหน้าตรุษจะลาเจ้าของบ้าน
เดินทางไปบ้านอื่นต่อไป เมื่อร้องรำไปทั่วหมู่บ้านหรือกำหนดไว้แล้วว่าอาจจะเป็นหนึ่งวันหรือหลายวัน ก็ได้ หัวหน้าตรุษก็จะนำสิ่งของและเงินทองที่ชาวบ้าน
บริจาค ไปให้ผู้หลักผู้ใหญ่หรือถวายเจ้าอาวาส เพื่อนำไปบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ต่อไป
- เรือมอันเร แปลว่า รำสาก สมัยก่อนเรียกว่า ลูตอันเร เล่นกันในวันหยุดสงกรานต์ ซึ่งเรียกว่า “วันต๊อม” ชาวเขมรถือว่าวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวัน
ขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ ชาวเขมรจะพากันหยุดงาน ๓ วัน ตั้งแต่วันขึ้น ๑ ค่ำ ถึงวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ เพื่อพักผ่อนและไปทำบุญที่วัด พอถึง วันขึ้น ๑๔ค่ำ จะมี
พิธีก่อภูเขาทรายตามวัดวาอารามต่าง ๆ ทั่วไป รุ่งขึ้นวันขึ้น ๑๕ค่ำ มีการทำบุญตักบาตร และจาก วันแรม ๑ค่ำ เป็นต้นไป ตามประเพณีให้หยุดงาน ๗ วัน
จึงเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวที่รักใคร่ชอบพอกันได้พบกันด้วยการละเล่น พื้นบ้าน เครื่องดนตรี มีโทน ๑ คู่ ปี่อ้อ ๑เลา ปี่ไฉน ๑เลา ซออู้ ขนาดกลาง
๑คัน ตะโพน ๑ใบ ฉิ่ง ๑คู่ กรับ ๑คู่ ฉาบ ๑คู่ ผู้รำไม่จำกัดจำนวน ส่วนผู้เล่นดนตรีปกติมี ๔คน ส่วนการแต่งกาย ในสมัยก่อนไม่พิถีพิถัน แต่งกายตามสบาย
หากจะให้สวยงามก็จะแต่งตามประเพณีนิยมคือ ผู้ชายนุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลมแขนสั้น ผ้าขาวม้าคาดเอว 1 ผืน คล้องคอปล่อยชายไปข้างหลังอีก
๑ผืน ส่วนผู้หญิง จะนุ่งผ้าไหมปูม ภาษาเขมรเรียกว่า “ซัมป๊วตโฮล” เสื้อแขนกระบอก มีผ้าสไบห่าง ๆ พาดทับเสื้ออีกชั้นหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีเครื่องประดับ
อื่นๆ อีก
- รำแม่มด ผู้หญิงเริ่มพิธีแสดง ๑คน มีเครื่องบวงสรวง เครื่องเซ่นไหว้ ได้แก่ ดอกไม้ เหล้า ข้าวต้มมัด และเครื่องใช้อื่นๆ มีผู้ร่วมแสดงประมาณ ๑๐คน
ขึ้นไป ผู้ชายเล่นดนตรีประกอบ เครื่องดนตรี มีกลอง แคน ขลุ่ย ฉิ่ง กรับ และพิณ รำแม่มดนิยมเล่นกันในท้องถิ่นอำเภอขุขันธ์ อำเภอขุนหาญ และอำเภอ
กันทรลักษ์ เดิมในอำเภอดังกล่าวนิยมเล่นเจรียง กันตรึม อาไย และกระโน้บติงตอง ในปัจจุบันไม่นิยมเล่นมากนัก และการแสดงเหล่านี้ก็มีวิวัฒนาการ
แตกต่างไปจากเดิม
![]() |
เยอ
ชาวเยอเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่พบในแถบอีสานใต้และอีสานเหนือบางส่วน รวมทั้งฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ในครั้งที่กษัตริย์ขอมปกครองนครจำปาศักดิ์นั้น
ชาวข่าเป็นชนอีกกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแถบนั้น ชาวข่าเรียกตัวเองหลายอย่าง เช่น จะ ระแด บูร กูย ฯลฯ ข่ามีอยู่ ๒กลุ่ม คือ
๑. กลุ่มที่อยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง อยู่กระจายตามเมืองขึ้นของจำปาศักดิ์ เนื่องจากในสมัยที่นครจำปาศักดิ์ตั้งเป็นรัฐอิสระ มีเจ้าสร้อยสมุทรพุทธางกูร
ปกครอง ราว พ.ศ. ๒๒๕๑-๒๒๗๕ได้ขยายอำนาจเข้ามาครอบคลุมเขตพื้นที่เมืองอีสาน และอพยพชนชาวข่าและชาวลาวมาตั้งถิ่นฐานอยู่ทางฝั่งซ้ายและ
ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ข่าที่อยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเรียกว่า ข่าจะแด ข่าวะ ข่าบูร ข่ากูย (กวย)
๒. กลุ่มที่อยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง แบ่งออกเป็น ๒กลุ่ม คือ กูย เดิมอยู่ในเขตเมืองอัตบือแสนแป สารวัน อพยพมาอยู่ในประเทศไทยเมื่อใดไม่ปรากฏ
สมัยรัชกาลที่ ๓เรียกพวกนี้ว่าส่วย ซึ่งมีทั้งส่วยที่อยู่ติดเขตแดนเขมร และส่วยที่อยู่ติดเขตแดนลาว และอีกกลุ่มหนึ่งคือพวกเยอที่อยู่ใกล้เขมร บางพวก
ยังคงรักษาวัฒนธรรมภาษาของตัวเอาไว้ เป็นชาติพันธุ์ตระกูลมอญ-เขมร จากการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ได้จัดชนชาติพันธุ์ชาวเยอเป็น
กลุ่มหนึ่งของกวยหรือกูย ซึ่งก็คือกวยเยอ ต่อมาจึงเรียกสั้น ๆ ว่า เยอ ดังนั้นชาวเยอก็คือกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งของกวยหรือข่า ที่อพยพมาอยู่ในประเทศไทย
เนื่องจากราว พ.ศ. ๒๒๒๔-๒๒๒๕เกิดเหตุการณ์ไม่สงบในเวียงจันทร์ จึงมีผู้นำชาวข่าอพยพมาตามเมือง รายทางฝั่งซ้ายและฝั่งขวาแม่น้ำโขง ซึ่งเป็น
เมืองขึ้นของจำปาศักดิ์ สืบเนื่องจากในสมัย เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรปกครองนครจำปาศักดิ์ ได้แผ่อำนาจการปกครองไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง รวมทั้ง
แถบอีสานใต้ ได้สร้างเมืองขึ้น ในแถบนี้คือ ศรีนครลำดวน จึงมีพวกข่าหรือพวกเยออพยพมาด้วย ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นหัวหน้าชาวกวยได้เลื่อน
บรรดาศักดิ์เป็น “พระ” และปกครองบ้านเมือง ผู้นำชาวเยอหลายคนได้นำชาวเยอ บางส่วนมาตั้งบ้านเรือนอยู่แถบเมืองศรีนครลำดวน(ปัจจุบันคือ
บ้านขมิ้น) โดยมีพระศิลา เป็นผู้นำบ้านเดิม พระโคตรและพระแก้วเป็นผู้นำบ้านขมิ้น ต่อมาเป็นบ้านโนนแกด (โนนแกด ภาษาเยอ แปลว่า โนนเล็ก ๆ)
โดยสรุปแล้ว ชาวเยอ เป็นชาติพันธุ์ในตระกูลมอญ-เขมร อพยพมาจากฝั่งขวาของแม่น้ำโขง มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น กวย กูย ข่า หรือส่วย อพยพมา
เมื่อใดไม่ปรากฏ สาเหตุของการอพยพมาก็คือ หนีภัยจากความไม่สงบของบ้านเมืองและติดตามเจ้านาย ชาวเยอมีนิสัยรักสงบ ซื่อสัตย์ และเชื่อฟังผู้นำ
หรือผู้อาวุโส ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณี มีภาษาพูดเป็นของตนเอง ซึ่งสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบัน มีชาวเยออาศัยอยู่ตามอำเภอต่าง ๆ
ในจังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ อำเภอเมืองศรีสะเกษ อำเภอราษีไศล อำเภอปรางค์กู่ อำเภอไพรบึง อำเภอห้วยทับทัน เป็นต้น บ้านเรือน บ้านเรือนของเยอ
เป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ไม่ถาวรมากนัก ทำหลังคาสูง มุงหลังคาด้วยหญ้า บางบ้านที่มีฐานะดีจะกั้นฝาบ้านด้วยไม้ไผ่หรือใบตาล มีการกั้นห้องเป็นสัดส่วน แต่ไม่
ชัดเจนในการใช้ประโยชน์มากนัก โดยเริ่มแรกจะกั้นเป็นห้องยาว ๆ ตลอดตัวบ้านห้องเดียว ห้องนี้เป็นห้องที่เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของผีเรือน ได้แก่ ผีปู่ย่า
ตายายหรือผีบรรพบุรุษ โดยเชื่อว่าจะอยู่ที่เสาเรือน ซึ่งเป็นเสาแฮก (เสาเอก) เสาแฮกนี้จะอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของบ้าน ห้องนี้ชาวบ้านเรียกว่า
“ห้องเปิง” ใช้เป็นห้องนอนของลูกสาว และใช้เป็นที่เก็บสัมภาระต่าง ๆ ด้านหน้าของห้องเปิงจะเป็นห้องนอนของพ่อแม่ ส่วนห้องชานหลังบ้านจะเป็น
ห้องนอนลูกชาย ตลอดจนเป็นที่รับแขกที่มาเยี่ยมเยียน หรือแม่แต่เป็นที่พักอาศัยของบรรดาญาติที่มาจากต่างถิ่น นอกจากนี้ก็จะมีที่ยื่นออกไปด้านหลัง
ใช้เป็นที่ทำครัว
การแต่งกาย
ผู้ชายจะนุ่งโสร่งหรือผ้าสีต่าง ๆ เป็นโจงกระเบน มีผ้าขาวม้าคาดเอวหรือคล้องไหล่ เครื่องประดับมีสร้อยคอรูปแบบต่าง ๆ ส่วนผู้หญิงจะแต่งกายด้วย
เสื้อแขนกระบอกคอกลมหรือคอตั้งสีสันต่าง ๆ นุ่งผ้าถุงโจงกระเบน มีเสื้อสีสันต่าง ๆ แต่ไม่มีลวดลายอยู่ด้านใน มีตุ้มหูเป็นเครื่องประดับที่สำคัญ
การผสมผสานกลมกลืนทางวัฒนธรรม
การแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ในกลุ่มชาวเยอนี้มีมาตั้งแต่อดีต มีการแต่งงานระหว่างชาวเยอกับชาวเขมร ชายเยอกับชาวลาว ชาวเยอกับชาวส่วยและ
ชาวเยอกับชายไทยเชื้อสายมอญแถบพระประแดงในอดีต อย่างไรก็ตามชาวเยอยังนิยมแต่งงานระหว่างชาวเยอด้วยกัน เพราะพูดกันรู้เรื่อง ในสมัย
ปัจจุบันนี้มีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์มากมายหลากหลายทั้งเชื้อชาติและจำนวน เช่น เขมร ไทยอีสาน ไทยภาคกลาง ไทยภาคใต้ รวมทั้งคนจีน เป็นต้น
ชาวเยอเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่พบในแถบอีสานใต้และอีสานเหนือบางส่วน รวมทั้งฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ในครั้งที่กษัตริย์ขอมปกครองนครจำปาศักดิ์นั้น
ชาวข่าเป็นชนอีกกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแถบนั้น ชาวข่าเรียกตัวเองหลายอย่าง เช่น จะ ระแด บูร กูย ฯลฯ ข่ามีอยู่ ๒กลุ่ม คือ
๑. กลุ่มที่อยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง อยู่กระจายตามเมืองขึ้นของจำปาศักดิ์ เนื่องจากในสมัยที่นครจำปาศักดิ์ตั้งเป็นรัฐอิสระ มีเจ้าสร้อยสมุทรพุทธางกูร
ปกครอง ราว พ.ศ. ๒๒๕๑-๒๒๗๕ได้ขยายอำนาจเข้ามาครอบคลุมเขตพื้นที่เมืองอีสาน และอพยพชนชาวข่าและชาวลาวมาตั้งถิ่นฐานอยู่ทางฝั่งซ้ายและ
ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ข่าที่อยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเรียกว่า ข่าจะแด ข่าวะ ข่าบูร ข่ากูย (กวย)
๒. กลุ่มที่อยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง แบ่งออกเป็น ๒กลุ่ม คือ กูย เดิมอยู่ในเขตเมืองอัตบือแสนแป สารวัน อพยพมาอยู่ในประเทศไทยเมื่อใดไม่ปรากฏ
สมัยรัชกาลที่ ๓เรียกพวกนี้ว่าส่วย ซึ่งมีทั้งส่วยที่อยู่ติดเขตแดนเขมร และส่วยที่อยู่ติดเขตแดนลาว และอีกกลุ่มหนึ่งคือพวกเยอที่อยู่ใกล้เขมร บางพวก
ยังคงรักษาวัฒนธรรมภาษาของตัวเอาไว้ เป็นชาติพันธุ์ตระกูลมอญ-เขมร จากการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ได้จัดชนชาติพันธุ์ชาวเยอเป็น
กลุ่มหนึ่งของกวยหรือกูย ซึ่งก็คือกวยเยอ ต่อมาจึงเรียกสั้น ๆ ว่า เยอ ดังนั้นชาวเยอก็คือกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งของกวยหรือข่า ที่อพยพมาอยู่ในประเทศไทย
เนื่องจากราว พ.ศ. ๒๒๒๔-๒๒๒๕เกิดเหตุการณ์ไม่สงบในเวียงจันทร์ จึงมีผู้นำชาวข่าอพยพมาตามเมือง รายทางฝั่งซ้ายและฝั่งขวาแม่น้ำโขง ซึ่งเป็น
เมืองขึ้นของจำปาศักดิ์ สืบเนื่องจากในสมัย เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรปกครองนครจำปาศักดิ์ ได้แผ่อำนาจการปกครองไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง รวมทั้ง
แถบอีสานใต้ ได้สร้างเมืองขึ้น ในแถบนี้คือ ศรีนครลำดวน จึงมีพวกข่าหรือพวกเยออพยพมาด้วย ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นหัวหน้าชาวกวยได้เลื่อน
บรรดาศักดิ์เป็น “พระ” และปกครองบ้านเมือง ผู้นำชาวเยอหลายคนได้นำชาวเยอ บางส่วนมาตั้งบ้านเรือนอยู่แถบเมืองศรีนครลำดวน(ปัจจุบันคือ
บ้านขมิ้น) โดยมีพระศิลา เป็นผู้นำบ้านเดิม พระโคตรและพระแก้วเป็นผู้นำบ้านขมิ้น ต่อมาเป็นบ้านโนนแกด (โนนแกด ภาษาเยอ แปลว่า โนนเล็ก ๆ)
โดยสรุปแล้ว ชาวเยอ เป็นชาติพันธุ์ในตระกูลมอญ-เขมร อพยพมาจากฝั่งขวาของแม่น้ำโขง มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น กวย กูย ข่า หรือส่วย อพยพมา
เมื่อใดไม่ปรากฏ สาเหตุของการอพยพมาก็คือ หนีภัยจากความไม่สงบของบ้านเมืองและติดตามเจ้านาย ชาวเยอมีนิสัยรักสงบ ซื่อสัตย์ และเชื่อฟังผู้นำ
หรือผู้อาวุโส ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณี มีภาษาพูดเป็นของตนเอง ซึ่งสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบัน มีชาวเยออาศัยอยู่ตามอำเภอต่าง ๆ
ในจังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ อำเภอเมืองศรีสะเกษ อำเภอราษีไศล อำเภอปรางค์กู่ อำเภอไพรบึง อำเภอห้วยทับทัน เป็นต้น บ้านเรือน บ้านเรือนของเยอ
เป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ไม่ถาวรมากนัก ทำหลังคาสูง มุงหลังคาด้วยหญ้า บางบ้านที่มีฐานะดีจะกั้นฝาบ้านด้วยไม้ไผ่หรือใบตาล มีการกั้นห้องเป็นสัดส่วน แต่ไม่
ชัดเจนในการใช้ประโยชน์มากนัก โดยเริ่มแรกจะกั้นเป็นห้องยาว ๆ ตลอดตัวบ้านห้องเดียว ห้องนี้เป็นห้องที่เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของผีเรือน ได้แก่ ผีปู่ย่า
ตายายหรือผีบรรพบุรุษ โดยเชื่อว่าจะอยู่ที่เสาเรือน ซึ่งเป็นเสาแฮก (เสาเอก) เสาแฮกนี้จะอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของบ้าน ห้องนี้ชาวบ้านเรียกว่า
“ห้องเปิง” ใช้เป็นห้องนอนของลูกสาว และใช้เป็นที่เก็บสัมภาระต่าง ๆ ด้านหน้าของห้องเปิงจะเป็นห้องนอนของพ่อแม่ ส่วนห้องชานหลังบ้านจะเป็น
ห้องนอนลูกชาย ตลอดจนเป็นที่รับแขกที่มาเยี่ยมเยียน หรือแม่แต่เป็นที่พักอาศัยของบรรดาญาติที่มาจากต่างถิ่น นอกจากนี้ก็จะมีที่ยื่นออกไปด้านหลัง
ใช้เป็นที่ทำครัว
การแต่งกาย
ผู้ชายจะนุ่งโสร่งหรือผ้าสีต่าง ๆ เป็นโจงกระเบน มีผ้าขาวม้าคาดเอวหรือคล้องไหล่ เครื่องประดับมีสร้อยคอรูปแบบต่าง ๆ ส่วนผู้หญิงจะแต่งกายด้วย
เสื้อแขนกระบอกคอกลมหรือคอตั้งสีสันต่าง ๆ นุ่งผ้าถุงโจงกระเบน มีเสื้อสีสันต่าง ๆ แต่ไม่มีลวดลายอยู่ด้านใน มีตุ้มหูเป็นเครื่องประดับที่สำคัญ
การผสมผสานกลมกลืนทางวัฒนธรรม
การแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ในกลุ่มชาวเยอนี้มีมาตั้งแต่อดีต มีการแต่งงานระหว่างชาวเยอกับชาวเขมร ชายเยอกับชาวลาว ชาวเยอกับชาวส่วยและ
ชาวเยอกับชายไทยเชื้อสายมอญแถบพระประแดงในอดีต อย่างไรก็ตามชาวเยอยังนิยมแต่งงานระหว่างชาวเยอด้วยกัน เพราะพูดกันรู้เรื่อง ในสมัย
ปัจจุบันนี้มีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์มากมายหลากหลายทั้งเชื้อชาติและจำนวน เช่น เขมร ไทยอีสาน ไทยภาคกลาง ไทยภาคใต้ รวมทั้งคนจีน เป็นต้น
![]() |
ชายไทย-ลาว ที่อาศัยอยู่ในหัวเมืองเขมรป่าแดง มีความเกี่ยวเนื่องกับชาวลาวที่อพยพมาอยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้นมา
และได้เข้ามาอยู่แถบตอนกลางของอีสาน ในปี พ.ศ. ๒๒๖๑ เมื่อกษัตริย์ผู้ปกครองนครจำปาศักดิ์ ได้ส่งจารย์แก้ว (เจ้าแก้วมงคล) มาตั้งเมืองท่ง (เมืองทุ่ง)
พร้อมกับชายฉกรรจ์จำนวน ๓๐๐ คน (รวมทั้งครอบครัวของชายฉกรรจ์) ในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ดในปัจจุบัน ต่อมาในรัชสมัยพระเจ้า-
กรุงธนบุรี กษัตริย์เวียงจันทน์เกิดขัดแย้งกับพระวอ พระตา เสนาบดีของพระองค์ พระวอ พระตา ได้หาสมัครพรรคพวกหนีมาตั้งอยู่ที่เมืองหนองบัวลำภู
(เขตจังหวัดหนองบัวลำภูปัจจุบัน) ซึ่งขณะนั้นอยู่ในเขตการปกครองของนครเวียงจันทน์ การตั้งบ้านเรือนตามบริเวณ ทางเหนือของลุ่มแม่น้ำมูล ในเขต
ทุ่งกุลาร้องไห้เป็นเพียงระยะแรก ๆ ต่อมาจึงมีชาวลาวอพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตเมืองรัตนบุรีและเมืองขุขันธ์ ทางตอนเหนือ อิทธิพลทางสังคมและ
วัฒนธรรมของลาว จึงได้เข้ามาผสมในหมู่ชาวกวยที่ตั้งบ้านอยู่ใกล้กับชาวลาว หรือที่ชาวลาวได้เข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งเป็นกระบวนการ
ผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม ที่เกิดจากการที่ชาวลาวได้นำวัฒนธรรมของตนเข้ามาพร้อมกับการเข้ามาอยู่ร่วม กับชาวกวยด้วย การเกิดเอกลักษณ์ใหม่
ในชาติพันธุ์ของชาวกวยในจังหวัดศรีสะเกษ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการผสมกลมกลืนรวมยอดหรือทั้งหมด ซึ่งเกิดขึ้นในส่วนของสังคมและวัฒนธรรมของ
ปัจเจกชนและของกลุ่ม กระบวนการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมดังกล่าว ทำให้ชาวกวยค่อย ๆ ยอมรับวัฒนธรรมของชาวลาว การผสมกลมกลืนทาง
วัฒนธรรมจึงเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน ขึ้นอยู่กับกระบวนการในการปรับตัวของชาวท้องถิ่นนั้น ๆ
บ้านเรือน
บ้านเรือนของชาวลาวมีลักษณะการก่อสร้างเหมือนกับบ้านเรือนของชาวไทย อีสานทั่ว ๆ ไป คือ ลักษณะตัวบ้านทั้งหลังสร้างด้วยไม้ หลังคามุงด้วย
กระเบื้องไม้ มีห้องขนาดใหญ่ นอนรวมกันทั้งครอบครัว
การแต่งกาย
ผู้ชายแต่งกายด้วยกางเกงผ้าฝ้ายขากระบอก เสื้อผ้าฝ้ายคอกลม ผ้าขาวม้าคาดเอว ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น เสื้อแขนกระบอกคอกลมหรือกระโจมอก
ศิลปวัฒนธรรม
- ฟ้อนกลองตุ้ม เป็นศิลปะการฟ้อนรำพื้นเมืองตามหมู่บ้านต่าง ๆ ของอำเภอกันทรารมย์ อำเภอกันทรารมย์เป็นอำเภอเดียวของจังหวัดศรีสะเกษ
ที่มีการแสดงการฟ้อนกลองตุ้ม การฟ้อนรำชนิดนี้จะเป็นการแสดงของชาวจังหวัดยโสธรและจังหวัดอุบลราชธานี ชาวบ้านจะทอเครื่องแต่งกายและ
ฝึกฟ้อนรำกันเอง หญิงชายจะฟ้อนเป็นคู่ไม่จำกัดจำนวน การฟ้อนจะฟ้อนถอยหลัง ใช้ประกอบขบวนแห่บั้งไฟ (ขบวนเซิ้งบั้งไฟ) ในเดือน ๖ของทุกปี
ดนตรีที่ใช้มีกลองตุ้มและพวงฮาด
- ฟ้อนงูกินเขียด เป็นการฟ้อนรำอิสระ ผู้ฟ้อนไม่ว่าหญิงหรือชาย หนุ่มสาวหรือเด็ก ๆ จะเกาะเอวต่อกันเหมือนงูกินหาง ไม่จำกัดจำนวน การฟ้อนรำ
ไม่กำหนดท่าฟ้อนแน่นอน ผู้รำถือไต้หรือคบไฟ เดินคดเคี้ยวไปมาและร้องโต้ตอบกันอย่างสนุนกสนาน การฟ้อนรำชนิดนี้นิยมเล่นกันตอนพลบค่ำ
หลังจากเสร็จสิ้นขบวนแห่บั้งไฟแล้ว
- มโหรีชาวบ้าน มีผู้เล่นประมาณ ๕-๑๐คน ดนตรีที่ใช้มีซออู้ ซอด้วง ปี่ ขลุ่ย กลองตุ้ม ฉิ่ง ฉาบ และกรับ ในการบรรเลงมีปี่เดินทำนอง ดนตรีอื่น
ประกอบและให้จังหวะ อาจนั่งเล่นเป็นวงหรือเดินแห่เหมือนขบวนพาเหรดก็ได้ นิยมเล่นในท้องถิ่นอำเภออุทุมพรพิสัย
- วงปี่พาทย์และมโหรี มีทั้งปี่พาทย์เครื่อง ๕และเครื่อง ๗และอาจผสมเป็นวงมโหรีได้ด้วย มีลีลาการบรรเลงเพลงไทยไพเราะ แต่มีลีลาผสมแบบ
พื้นเมืองอยู่ด้วย วงปี่พาทย์นี้นิยมเล่นโขนของชาวอำเภอขุขันธ์
- หนังตะลุง ชาวบ้านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หนังปราโมทัย มีที่บ้านเพียมาต อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ตัวหนังย้อมสีสันสวยงาม การเล่นมีบท
ไหว้ครู มีบทร้องพากย์ มีดนตรีประกอบ มีตลกแบบอีสานเข้าผสมผสานด้วย
- หมอลำแคน จังหวัดศรีสะเกษเป็นเขตกันชนระหว่างวัฒนธรรมอีสานเหนือกับอีสานใต้ จึงมีศิลปะการแสดงประเภทหมอลำรวมอยู่ด้วย มีทั้งหมอลำคู่
หมอลำหมู่ หมอลำชิงชู้ หมอลำเพลิน และหมอลำประเภทอื่น ๆ เช่น เกี่ยวกับการแสดงหมอลำของเขตอีสานเหนือ หมอลำนี้จะมีในท้องถิ่นที่มีชาวลาว
อาศัยอยู่ เช่น อำเภอกันทราราย์ อำเภอเมือง เป็นต้น
- บายศรีสู่ขวัญ จัดว่าเป็นพิธีมีเกียรติยิ่ง เป็นการเรียกขวัญต้อนรับหรืออวยชัยให้พรแก่ผู้ที่ควรเคารพหรือคู่แต่งงาน หรือในโอกาสที่บุคคลภายในบ้าน
ได้รับราชการ ได้เป็นเจ้าคนนายคน หรือได้รับตำแหน่งสูงขึ้น เครื่องบายศรีทำด้วยใบตองเย็บเป็นเชิง แซมด้วยดอกไม้ต่าง ๆ พร้อมทั้งธูปเทียนบนโตก
หรือพาน มีด้ายสายสิญจน์ใส่พาน พร้อมด้วยเหล้า ๑ ขวด ไก่ต้ม ๑ ตัว ไข่ต้ม ๑ ฟอง เมื่อผู้รับบายศรีมานั่งพร้อมเพรียงกันแล้ว พราหมณ์ก็จะสวดเรียกขวัญ
ให้ศีลให้พร แล้วก็มีการผูกข้อมือเช่นเดียวกับบายศรีแต่งงาน
- ประเพณีลงแขก เรียกว่า วานหรือขอแรง ประเพณีนี้มีมานานแล้ว ปัจจุบันนี้ยังคงมีอยู่ เช่น ขอแรงเกี่ยวข้าว นวดข้าว ช่วยปลูกสร้างบ้านเรือน
เป็นต้น เมื่อใครจะมีการทำงานดังกล่าวแล้ว ก็จะเที่ยวบอกขอแรงแก่บรรดามิตรสหายหรือญาติพี่น้องให้ช่วย มีธรรมเนียมประเพณีอยู่ว่า เมื่อเจ้าภาพ
ออกปากไหว้วานแล้ว ชาวบ้านใกล้เคียงก็จะรีบเป็นธุระมาช่วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันทันที ทั้งนี้เจ้าภาพไม่ต้องเสียค่าจ้างหรือค่าแรงงาน
แต่อย่างใด แต่เจ้าภาพจะต้องหาสุรา และอาหารไว้รับรองเลี้ยงแขกให้เต็มที่เท่านั้น
- ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นประเพณีอย่างหนึ่ง ซึ่งถือเป็นพิธีขอฝน เป็นการทำบุญประจำปี การทำบุญบั้งไฟนี้ ตำบลหรือหมู่บ้านที่เป็นศูนย์กลางหรือ
เจ้าภาพ จะมีการแจ้งฎีกาไปยังหมู่บ้านข้างเคียง บอกกำหนดการทำบุญ หมู่บ้านที่ได้รับฎีกาก็จะจัดทำบั้งไฟ โดยเจ้าอาวาสวัดเป็นหัวหน้าจัดหาช่างที่
ชำนาญมาผสมดินประสิวสำหรับทำบั้งไฟ บั้งไฟมี ๓ขนาด คือ บั้งไฟธรรมดา มีน้ำหนักดินประสิวไม่เกิน ๑๒กิโลกรัม บั้งไฟหมื่น มีน้ำหนักดินประสิว
เกิน ๑๒กิโลกรัมขึ้นไป (๑หมื่นเท่ากับ ๑๒กิโลกรัม) และบั้งไฟแสน มีน้ำหนักดินประสิว ๑๒๐กิโลกรัมขึ้นไป ต้องใช้เวลาทำประมาณ ๑เดือน เมื่อทำ
บั้งไฟ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยกระดาษสีสันสวยงาม เมื่อถึงวันนัดรวม ซึ่งตามภาษาชาวบ้านเรียกว่า “วันโฮม” หมู่บ้าน
ต่าง ๆ ก็จะแห่บั้งไฟของตนมายังหมู่บ้านที่แจ้งฎีกา โดยไปให้ถึงก่อนเพล แล้วร่วมกันทำบุญเลี้ยงพระก่อน ตอนบ่ายมีการแห่เซิ้งรวมกันทุกหมู่บ้าน
ไปรอบ ๆ หมู่บ้าน และชาวบ้านเจ้าภาพนั้นก็จะต้อนรับขบวนแห่เซิ้งด้วยเหล้า ตอนเย็นก็จะนำไปรวมกัน มีมหรสพฉลอง เช่น หมอลำและฟังเทศน์
รุ่งเช้าก็แห่ไปยังฐานที่จุดบั้งไฟ ซึ่งอยู่นอกหมู่บ้าน การจุด ถ้าเป็นบั้งไฟหมื่นลงมาก็จะขึ้นไปจุดเลย ถ้าเป็นบั้งไฟแสน ก็จะใช้บั้งไฟม้าขึ้นไปจุดชนวน
เพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายแก่ผู้จุด ถ้าบั้งไฟขึ้นสูงและขึ้นกันเป็นส่วนใหญ่ก็จะเป็นเครื่องพยากรณ์ว่า ฝนฟ้าในปีนี้จะดี ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
ถ้าบั้งไฟหมู่บ้านใดไม่ขึ้นหรือขึ้นไม่สูง คณะผู้จัดทำต้องถูกจับโยนลงน้ำหรือโคลน หรือถูกปรับไหมด้วยเหล้าและนำไปเลี้ยงกันเป็นที่สนุกสนาน
- รำผีฟ้า เป็นการแสดงท่าทางฟ้อนรำประกอบพิธีกรรมโบราณของชาวอีสาน ซึ่งมีหลงเหลืออยู่บ้างในปัจจุบัน พิธีกรรมมีจุดมุ่งหมายคือเป็นการรักษา
คนป่วยแบบโบราณ รำผีฟ้าเป็นการรำที่แสดงออกซึ่งความเชื่ออย่างหนึ่งของคนอีสาน จึงไม่ใช่การละเล่นหรือการแสดงเพื่อความสนุกสนานบันเทิงใจ
ตามที่ปรากฏอยู่ทั่วไป แต่เป็นการรำเพื่อบูชาเทพเจ้าที่ชาวอีสานเคารพนับถือ ชาวอีสานเชื่อกันว่า พระยาแถนเป็นผู้สร้างมนุษย์ให้เกิดมาและควบคุม
ความเป็นไปของมนุษย์ทุกอย่างเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย จึงเชื่อกันว่าเกิดจากการดลบันดาลของพระยาแถน ชาวอีสานนิยมทำพิธีอ้อนวอนให้พระองค์
โปรดปรานคนป่วย ผู้ทำพิธีนี้ คือหมอลำผีฟ้า หมอลำผีฟ้าจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อกับพระยาแถนและญาติผู้ป่วยหรือ ผู้ป่วย ผู้ที่เป็นหมอลำผีฟ้า
อาจจะเป็นหญิงสาวหรือหญิงชรา ซึ่งจะต้องมีความสามารถในการ “รำ” ด้วย เพราะการรำนั้นเป็นวิธีการติดต่อสื่อสารกับพระยาแถน โดยจะต้องมีหมอแคน
เป่าแคนประกอบทำนองรำของหมอลำผีฟ้า ข้อความในการรำนั้นจะเป็นการบูชาพระยาแถน ขอความอนุเคราะห์ให้ช่วยรักษาคนเจ็บ เมื่อติดต่อแล้ว
ก็จะมีการออกท่าทางฟ้อนรำ เรียกการฟ้อนรำนั้นว่า “รำผีฟ้า” การออกท่าทางฟ้อนรำ นอกจากหมอผีจะเป็นผู้ฟ้อนรำแล้ว บางทีก็มีบริวารของหมอลำผีฟ้า
ร่วมฟ้อนรำด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น