วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

อาเซียน

อาเซียน 
อาเซียน คือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East AsianNations หรือ ASEAN) โดยการจัดตั้งในครั้งแรกมีจุดประสงค์เพื่อ ส่งเสริมและร่วมมือในเรื่องสันติภาพ,ความมั่นคง, เศรษฐกิจ, องค์ความรู้, สังคมวัฒนธรรม บนพื้นฐานความเท่าเทียมกันและผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิก
โดย อาเซียน ได้ก่อตั้งขึ้นโดย ปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2510 โดยมีผู้ร่วมก่อตั้ง 5 ประเทศคือ
1.ไทย โดย พันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ (รัฐมนตรีต่างประเทศ)
2.สิงคโปร์ โดย นายเอส ราชารัตนัม (รัฐมนตรีต่างประเทศ)
3.มาเลเซีย
  โดย ตุน อับดุล ราชัก บิน ฮุสเซน (รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ)
4.ฟิลิปปินส์ โดย นายนาซิโซ รามอส (รัฐมนตรีต่างประเทศ)
5.อินโดนีเซีย โดย นายอาดัม มาลิก (รัฐมนตรีต่างประเทศ)
ต่อมาได้มีประเทศต่างๆ เข้าร่วมเป็นสมาชิกเพิ่มเติม คือ  8 ม.ค.2527 บรูไนดารุสซาลาม, 28 ก.ค. 2538  เวียดนาม, 23 ก.ค. 2540 สปป.ลาว และ พม่า, 30 เม.ย. 2542 กัมพูชา ให้ปัจจุบันมีสมาชิกอาเซียนทั้งหมด 10 ประเทศ
คำขวัญอาเซียน คือ
หนึ่งวิสัยทัศน์, หนึ่งอัตลักษณ์, หนึ่งประชาคม (One Vision, One Identity,               One Community)



สัญลักษณ์อาเซียน
asean-symbol
รูปรวงข้าวสีเหลืองบนพื้นสีแดงล้อมรอบด้วยวงกลมวีขาวและสีน้ำเงินรวงข้าว 10 ต้น มัดรวมกันไว้ หมายถึง ประเทศสมาชิกรวมกันเพื่อมิตรภาพและความเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกันพื้นที่วงกลม สีแดง สีขาว และน้ำเงิน ซึ่งแสดงถึงความเป็นเอกภาพ มีตัวอักษรคำว่า “asean” สีน้ำเงิน อยู่ใต้ภาพรวงข้าวอันแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันเพื่อความมั่นคง สันติภาพ เอกภาพ และความก้าวหน้าของประเทศสมาชิกอาเซียน
สีน้ำเงิน  หมายถึง   สันติภาพและความมั่นคง
สีแดง
     หมายถึง   ความกล้าหาญ และความก้าวหน้า
สีขาว
      หมายถึง   ความบริสุทธิ์
สีเหลือง
  หมายถึง   ความเจริญรุ่งเรือง
อาเซียน รวมตัวกันเพื่อ ความร่วมมือกันทางการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม และได้มีการพัฒนาการเรื่อยมา จนถึงขณะนี้ที่เรามีกฎบัตรอาเซียน (ธรรมนูญ อาเซียน หรือ ASEAN Charter) ซึ่งเป็นเสมือนแนวทางการดำเนินงานที่จะนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนซึ่งประกอบด้วย 3 สิ่งหลักๆ คือ
1.การเมืองความมั่นคง
2.เศรษฐกิจ (
AEC)
3.สังคมและวัฒนธรรม
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มีพัฒนาการไปด้วยกัน โดยเหตุที่คนส่วนใหญ่มักจะพูดถึงแต่ AEC ซึ่งก็คือด้านเศรษฐกิจหรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คงเป็นเพราะว่าเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ดูจะจับต้องได้มากกว่าเรื่องอื่นๆ  อีกทั้งในการขับเคลื่อนส่วนใหญ่แล้วที่มักจะก้าวไปเร็วกว่าส่วนอื่นๆ ก็คือภาคธุรกิจ ดังนั้น คนอาจจะรับรู้เรื่อง AEC มากกว่ามิติความร่วมมืออื่นๆ ของอาเซียน
อย่างไรก็ดี ความร่วมมือทั้ง 3 เสาหลักของอาเซียนก็มีความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น เพราะการสร้างประชาคมอาเซียนย่อมหมายถึงการร่วมมือและหลอมรวมกันในทุกมิติ และแต่ละมิติก็ล้วนมีความสำคัญและส่งเสริมซึ่งกันและกัน เราคงไม่อาจผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจได้หากปราศจากความมั่นคงทางการเมือง หรือความเข้าใจกันของคนในอาเซียน
ขณะนี้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เรื่องการเปิดเสรีแรงงานในอาเซียนจะทาได้อย่างอิสระ ประเภทว่าข้ามฝั่งโขงไปก็หางานทำได้เลย ข้อเท็จจริง ไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้น เพราะการเปิดเสรีด้านแรงงานที่อาเซียนได้เจรจากันครอบคลุมเฉพาะในส่วนของแรงงานมีฝีมือ ขณะนี้อาเซียนได้จัดทำข้อตกลงยอมรับร่วมในคุณสมบัติวิชาชีพเพียง 7 สาขา คือ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล นักบัญชี วิศวกร สถาปนิก และชำงสำรวจ แต่การที่แรงงานมีฝีมือใน 7 สาขาดังว่าจะเข้ามาทำงานในประเทศต่างๆ ในอาเซียนได้ จะต้องทาตามขั้นตอนและกฎระเบียบภายในประเทศต่างๆ อยู่ดี เช่น ถ้าจะมาทำงานในไทยก็ต้องผ่านการสอบใบประกอบวิชาชีพหรือผ่านขั้นตอนการประเมินตามเงื่อนไขภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของแรงงานไร้ฝีมือไม่อยู่ในขอบเขตของการเปิดเสรีด้านบริการอาเซียน ดังนั้นการเปิดเสรีเป็นคนละส่วนกับปัญหาแรงงานต่างด้าวทั่วไป รวมถึงแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งในส่วนนั้น ประเทศไทยได้ร่วมมือกับรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแก้ไขปัญหาและจัดระเบียบ
เมื่อไม่นานมานี้มีการสอบถามความตระหนักรู้ของประชาชนใน 10 ประเทศสมาชิกเกี่ยวกับอาเซียน ปรากฏว่า ไทยอยู่ในอันดับท้ายๆ ขณะที่ประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียน (CLMV) อย่าง ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ และเวียดนาม กลับรู้จักและเห็นความสำคัญของอาเซียนมากกว่า เพราะเขาติดตามข่าวสารเกี่ยวกับประเทศไทย ซื้อสินค้าไทย ดูละครไทย และเรียนรู้ภาษาไทยกันมากขึ้น คนไทยเป็นคนเก่ง มีจุดแข็งและมีความโดดเด่นหลายด้าน และไม่ได้ด้อยเรื่องความรู้ความสามารถ แต่ยังมีจุดอ่อนอันดับแรกในเรื่องของภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาทางการของอาเซียน ซึ่งต้องพัฒนาอีกมาก
นอกจากนี้ เราต้องหันมาให้ความสนใจกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนด้วยกันเองมากขึ้น ว่าตอนนี้เขาทำอะไรกัน มีพัฒนาการในเรื่องใด มีความแข็งแกร่งและมีจุดอ่อนในเรื่องไหน เพราะเมื่อรวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียนใน ปี 2558 ประเทศในอาเซียนจะมีการติดต่อกันมากขึ้น
ขณะที่องค์กรต่างๆในไทย ก็ต้องพัฒนาความรู้และติดตามข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับอาเซียนในสาขาที่เกี่ยวกับตนเอง เพื่อให้สามารถรับมือกับคู่แข่งจากอีก 9 ประเทศให้ได้ จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับคนไทยและประเทศไทยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงอยากให้มองว่าปี 2558 ที่              อาเซียนจะก้าวสู่การเป็นประชาคม ไม่ได้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของอาเซียน แต่เป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของอาเซียน และเราจำเป็นต้องเสริมสร้างการรวมตัวในเสาหลักทั้ง 3 เสาอย่างต่อเนื่องต่อไป

ASEAN ECONOMIC COMMUNITY: AEC
ทั้งนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังไงๆ เราต้องเดินหน้าสู่วงจรของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่ต้องคิดว่าสามารถถอยหลังได้ เนื่องด้วย วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 เราต้องเดินเข้าสู่วงจรนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะดำเนินการเต็มรูปแบบ!กล่าวคือ สมาชิกทั้ง 6 ประเทศ โดย มีไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ได้ดำเนินการด้านเศรษฐกิจกันไปแล้ว เพียงแต่ว่าการจัดเก็บอัตราภาษีนั้น ยังไม่เป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ มีแต่การจัดเก็บภาษีด้านการค้าขายระหว่างกันนั้น เริ่มที่ระดับร้อยละ 5-10 เท่านั้น ส่วนระบบโลจิสติกส์และระบบขนส่ง บวกกับภาคบริการ ศิลปวัฒนธรรม และความมั่นคงนั้น ว่ากันตามความเป็นจริงยังไม่ได้เริ่มกันซักเท่าไหร่เลย
แต่เริ่มจะเป็นจริงเป็นจังกันในปี 2558 ที่สมาชิกน้องใหม่อีก 4 ประเทศ กล่าวคือกลุ่ม CLMV” ที่ประกอบไปด้วย C = กัมพูชา(CAMBODIA) L = สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (LAOS) M =สหภาพพม่า (MYANMAR UNION) และ V = สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบของสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ
เมื่อนั้นสภาพการแข่งขัน จะเกิดขึ้นอย่างจริงจังในกรณีของวัตถุดิบทรัพยากรมนุษย์ ภาคการบริการ ทักษะกับแรงงานต่างด้าวที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าแรงขั้นต่ำ ที่กลุ่มประเทศสมาชิกน้องใหม่ที่มีอัตราต่ำกว่าบ้านเราน่าจะประมาณ 85-90 บาทเท่านั้น ในกรณีนี้จะเกิดการแข่งที่สูงมากด้วยภาคการส่งออกเป็นกรณีที่น่าเสียดาย-เสียใจ อย่างมากที่คนไทยจำนวนมากยังไม่ค่อยตระหนักถึงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือแม้กระทั่ง ข้าราชการบวกกับ คนรุ่นใหม่ ที่ยังไม่มีโอกาสมีความรู้และความเข้าใจความสำคัญของAECว่าในที่สุดแล้ว     อีกเพียง 2 ปี 5 เดือนเท่านั้นที่ทุกประเทศในสมาชิกประชาคมอาเซียนเริ่มเตรียมพร้อม แล้วโดยเฉพาะสิงคโปร์ เวียดนาม ที่สิงคโปร์น่าจะพร้อมที่สุด ทั้งนี้ บริษัทต่างชาติชาวอเมริกันและ            อังกฤษได้เข้าจดทะเบียนบริษัท โดยใช้ ตัวแทน (Nominee)” ชาวสิงคโปร์เข้าเป็นหุ้นส่วนในภาคบริการประกันภัยเรียบร้อยแล้ว
ภาษาอังกฤษ (ENGLISH)” เป็นภาษาหลักที่ทุกประเทศทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะยึดเป็นภาษาหลัก นอกนั้นยังมีความจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ภาษาจีน-ภาษาญี่ปุ่นไปด้วยเพื่อความคล่องตัวในการติดต่อสื่อสารนอกจากนั้น ภาษาท้องถิ่นของภาษาพม่า และภาษากัมพูชา บวกกับภาษาเวียดนามที่มีความสำคัญไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย ที่ชาวเอเซียต้องเรียนรู้ ประเทศไทยเรานั้น มีความได้เปรียบทั้งในเชิง ภูมิรัฐศาสตร์-ภูมิเศรษฐศาสตร์อย่างมาก กล่าวคือ การที่ประเทศไทยอยู่ใจกลางการเชื่อมโยงของกลุ่มประเทศประชาคมอาเซียน ที่ประสานได้หมดทั้งภาคเหนือสู่ลาวและจีน ส่วนภาคใต้นั้นลงสู่มาเลเซียและสิงคโปร์ ด้านตะวันออกกับตะวันตก เชื่อมระหว่างสหภาพพม่าและลาวกับเวียดนามที่ ระบบโลจิสติกส์กับการขนส่งต้องผ่านกรุงเทพมหานครหมด เรียกว่าเป็นศูนย์กลาง (Hub)” ทั้งหมดการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยนั้น ภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่นมีความจำเป็นอย่างมาก ที่คนไทยต้องตื่นตัว เรียนรู้ให้ได้มากที่สุด นั่นประการที่หนึ่ง ประการที่สอง การเร่งดำเนินการระบบโลจิสติกส์และการขนส่งที่ประเทศจีน พร้อมสนับสนุนตลอดเวลาในการสร้าง รถไฟความเร็วสูง เพื่อขนส่งมวลชนและระบบรถไฟรางคู่เพื่อขนส่งสินค้า โดยเริ่มจากภาคเหนือลงสู่ภาคใต้และภาคตะวันออกสู่ภาคตะวันตก ซึ่งเป็นวาระสำคัญมากที่สหภาพพม่าเร่งสร้างเขตปกครองพิเศษทวาย อย่างแน่นอนเพื่อลดต้นทุนด้านการขนส่งจากเมืองเว้นผ่านอีสานตอนใต้มุ่งสู่กรุงเทพฯ และทะลุสู่จังหวัดราชบุรีกับกาญจนบุรีเข้าสู่ทวายเพื่อเดินทางต่อทางทะเลไปมหาสมุทรอินเดีย
ประการที่สามคือ การพัฒนาด้านการเกษตรที่ประเทศไทยนั้น มีความเหมาะสมที่สุดในการผลิตข้าวและสินค้าการเกษตรอื่นๆ ที่ต้องต่อยอดสู่การพัฒนากึ่งอุตสาหกรรมการเกษตร และในที่สุดสู่ อุตสาหกรรมภาคการเกษตรที่ว่าไปแล้ว บริษัทใน เครือเจริญโภคภัณฑ์ น่าจะชำนาญที่สุดกับ การผลิตสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม
เพียงสามประการที่เราต้องเตรียมความพร้อมในการเดินหน้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่น่าจะสร้างความพร้อมได้ภายใน 1 ปีครึ่งถึงสองปี ที่เราต้องเตรียมตัวกันได้แล้ว อย่างไรก็ตาม นับว่าเรายังโชคดีที่เริ่มมี การปลุกและ การกระตุ้น ให้สังคมไทยได้เริ่มขยับกันบ้างแล้ว โดยเฉพาะกรณี การแข่งขันที่ต้องกำหนดให้เป็น ยุทธศาสตร์กันไว้ล่วงหน้าได้แล้ว
ที่มา : สยามรัฐ โดย รศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล

AEC ຄືອ
AEC หรือ (ປະ­ຊາຄມເສດ­ຖະ­ກິ­ຕອາເຊີ່ຍນ) หรือ Asean Economics Community  คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ โดยมี ไทย, พม่า, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, บรูไน เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน จะมีรูปแบบคล้ายๆ กลุ่ม Euro Zone นั่นเอง จะทำให้มีผลประโยชน์, อำนาจต่อรองต่างๆ กับคู่ค้าได้มากขึ้น และการนำเข้า ส่งออกของชาติในอาเซียนก็จะเสรี ยกเว้นสินค้าบางชนิดที่แต่ละประเทศอาจจะขอไว้ไม่ลดภาษีนำเข้า (เรียกว่าสินค้าอ่อนไหว)
สินค้าอ่อนไหวของ ประเทศลาว มีดังนี้
1. โค กระบือ สุกร และสัตว์เลี้ยงเพื่อใช้งานและทำพันธุ์
2.สัตว์ปีกเลี้ยงมีชีวิต
3.เนื้อ/ส่วนอื่นๆที่กินได้ (สด แช่แข็ง แช่เกลือ รมควัน)
4.เนื้อ/ส่วนอื่นที่บริโภคได้ของสัตว์ปีก
5. ปลามีชีวิต
6.ไขสัตว์ปีกทั้งเปลือก(สด ทําให้สุก ทําไว้ไมให้เสีย
7.เครื่องในสัตว์(ไส้ ถุงกระเพาะ)
8. พืชผักสด ประเภท มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ กระหลํ่าดอก บรอกโคลี ผักกาดหอม แครอท เทอร์นิป แตงกวา แตงร้าน ถัวบีน ถั่วอื่นๆ เห็ดมัชรูม พริกหยวก พริกพิเมนตา ข้าวโพดหวาน พืชผักต่างๆ
9. พืชผักแช่เย็น แช่แข็ง
10. มันสําปะหลัง มันเทศ และมันอื่นๆ
11. ลูกนัต สดหรือแห้งและผสมผลไม้แห้ง
12. สัปปะรด ฝรั่ง มะมวง มังคุด ส้มแมนดาริน มะนาว เมลอน มะละกอ ผลไม้อื่น
13. ข้าว(ข้าวเปลือก ข้าวกล้อง ข้าวสีแล้ว ปลายข้าว)
14. อ้อย
15. เมล็ดพืช บางชนิด
16. บุหรี่
Asean จะรวมตัวเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและมีผลจริง ณ วันที่ 1 มกราคม 2015 ณ วันนั้นจะทำให้ภูมิภาคนี้เปลี่ยนไปอย่างมากอย่างที่คุณคิดไม่ถึงทีเดียว
AEC Blueprint (แบบพิมพ์เขียว) หรือแนวทางที่จะให้ AEC เป็นไปคือ
1. การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน
2.การเป็นภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง
3. การเป็นภูมิภาคที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน
4. การเป็นภูมิภาคที่มีการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก
โดยให้แต่ละประเทศใน AEC ให้มีจุดเด่นต่างๆดังนี้
พม่า : สาขาเกษตรและประมง
มาเลเซีย
 : สาขาผลิตภัณฑ์ยาง และสาขาสิ่งทอ
อินโดนีเซีย
 : สาขาภาพยนต์และสาขาผลิตภัณฑ์ไม้
ฟิลิปปินส์
 : สาขาอิเล็กทรอนิกส์
ลาว
 : ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และสิ่งทอ
สิงคโปร์
 : สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ และสาขาสุขภาพ
ไทย
 : สาขาการท่องเที่ยว และสาขาการบิน
การเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นได้ชัดๆใน AEC โดยอธิบายให้เห็นภาพเข้าใจง่ายๆ เช่น
- การลงทุนจะเสรีมากๆ คือ ใครจะลงทุนที่ไหนก็ได้ ประเทศที่การศึกษาระบบดีๆ ก็จะมาเปิดโรงเรียนในบ้านเรา อาจทำให้โรงเรียนแพงๆแต่คุณภาพไม่ดีลำบาก
- ไทยจะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว และการบินอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะว่าอยู่กลาง
Asean และไทยอาจจะเด่นในเรื่อง การจัดการประชุมต่างๆ, การแสดงนิทรรศการ, ศูนย์กระจายสินค้า และยังเด่นเรื่องการคมนาคมอีกด้วยเนื่องจากอยู่ตรงกลางอาเซียน และการบริการด้านการแพทย์และสุขภาพจะเติบโตอย่างมากเช่นกันเพราะ จะผสมผสานส่งเสริมกันกับอุตสาหกรรรมการท่องเที่ยว (ค่าบริการทางการแพทย์ต่างชาติจะมีราคาสูงมาก)
- การค้าขายจะขยายตัวอย่างน้อย 25% ในส่วนของอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น รถยนต์, การท่องเที่ยว, การคมนาคม,โดยผู้ลงทุนอาจย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปยังประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่า เช่นประเทศลาว เนื่องด้วยบางธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะมากนัก ค่าแรงจึงถูก
- เรื่องภาษาอังกฤษจะเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เนื่องจากจะมีคนอาเซียน เข้ามาอยู่ในไทยมากมายไปหมด และมักจะพูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ แต่จะใช้ภาษาอังกฤษ (AEC มีมาตรฐานแจ้งว่าจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางใน AEC)
- การค้าขายบริเวณชายแดนจะคึกคักอย่างมากมาย เนื่องจาก ด่านศุลกากรชายแดนอาจมีบทบาทน้อยลงมาก แต่จะมีปัญหาเรื่องยาเสพติด และปัญหาสังคมตามมาด้วย
- ประเทศลาวจะมีโอกาสเข้าไปทำงานที่ต่างชาติมากขึ้นจากการเปิดเสรีแรงงานวิชาชีพ 7 ประเภท
- อุตสาหกรรมโรงแรม, การท่องเที่ยว, ร้านอาหาร, รถเช่า บริเวณชายแดนจะคึกคักมากขึ้น เนื่องจากจะมีการสัญจรมากขึ้น และเมืองตามชายแดนจะพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นจุดขนส่ง
- ประเทศลาวจะมี คนอาเซียนมาท่องเที่ยวมากขึ้น โดยธุรกิจท่องเที่ยวจะเติบโตอย่างมาก

ทิศทางข้าวไทยใน อาเซียน วางตำแหน่งเป็น Traderโลก
การประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับมอบให้ไปวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขัน(Competitive Advantage) ของสินค้าเกษตรที่สำคัญ โดยให้พิจารณาเชื่อมโยงกับกระทรวงอื่นเช่น กระทรวงคมนาคม โดยเฉพาะการสนับสนุนในเรื่องระบบโลจิสติกส์และดำเนินการจัดทำกำหนดเขตพื้นที่เพาะปลูก (Zoning) สินค้าเกษตรที่สำคัญ การวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด การเพิ่มผลผลิต โดยใช้ระบบชลประทานเข้ามาสนับสนุน ทั้งนี้ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้สินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ผลไม้ ปศุสัตว์เช่น ไก่ กุ้ง และผลิตภัณฑ์นม โดยเฉพาะการหารือร่วมกับภาคเอกชนเพื่อพิจารณาถึงทิศทางและผลกระทบว่ามีข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบด้านใด และจะมีแผนงาน/โครงการ แนวทางการจัดทำยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขอย่างไรก่อนเสนอรัฐบาลเพื่อบูรณาการแผนปฏิบัติการในภาพรวมจัดทำเป็นแผนแม่บทต่อไป
นิวัติ สุธีมีชัยกุลรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะดูแลด้านการผลิต ได้ร่วมหารือกับเอกชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในกรณีสินค้าข้าวผลจากการประชุมหารือเชิงลึกถึงสถานภาพของสินค้าข้าวของไทยในเวทีAEC ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับผู้แทนภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการค้าข้าว สรุปเบื้องต้นได้ว่า ภาคเอกชนไทยต้องการให้ประเทศไทยคงสถานภาพในการเป็นผู้ค้า หรือ Trader และต้องการเป็นผู้นำในเวทีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน แม้ว่าจะมีคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างเวียดนามและเมียนมาร์ที่พยายามพัฒนาแซงหน้าประเทศไทย การจะคงสถานะเป็นผู้นำการค้าข้าวใน AECนั้น ผู้เกี่ยวข้องเห็นตรงกันว่าพันธกิจที่ภาครัฐและภาคเอกชนต้องดำเนินการร่วมกัน คือ
1.ต้องพัฒนาสายพันธุ์ข้าวพื้นเมือ
ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ข้าวพันธุ์หอมมะลิ ข้าวพันธุ์ลืมผัว ข้าวพันธุ์สังข์หยด ข้าวพันธุ์หอมจำปา ข้าวหอมพันธุ์ดั้งเดิมของจ.อุตรดิตถ์ ฯลฯ เพื่อที่จะใช้คุณลักษณะความเฉพาะตัวของข้าวสายพันธุ์พื้นเมืองของไทย ที่มีคุณค่า รสชาติ และมีผลต่อการเสริมสุขภาพ เข้าครองตลาดในกลุ่มผู้บริโภคเฉพาะ (Unique Market)
2.พัฒนาสายพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 
ให้มีคุณค่าและคุณลักษณะเฉพาะให้สูงขึ้น เพื่อคงภาพลักษณ์ความเป็นที่สุด (Super-TOP) ของสายพันธุ์ข้าวเพื่อการบริโภคของโลกเนื่องจากคู่แข่งคือเมียนมาร์และเวียดนามมีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาข้าวหอมมะลิให้มีคุณภาพสูงกว่าข้าวหอมมะลิสายพันธุ์ไทย
3.ปรับปรุงมาตรการและขั้นตอนในการนำเข้าข้าว 5-10% จากประเทศเพื่อนบ้าน
โดยเฉพาะจากลาว กัมพูชา และเมียนมาร์ เพื่อนำมาแปรสภาพเป็นข้าวนึ่งเพิ่มจากปริมาณที่ไทยมีกำลังผลิตอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้ผู้ส่งออกของไทยสามารถขยายตลาดข้าวนึ่งได้มากขึ้น
4.ต้องมีการจัดทำระบบทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวให้ชัดเจนและเป็นปัจจุบัน
เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ จากข้าวภายนอกในกรณีที่ภาครัฐต้องการสนับสนุนเกษตรกร และยังสามารถใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาและยกระดับของเกษตรกรแต่ละพื้นที่ด้วย
5.ภาครัฐต้องดำเนินนโยบายที่ชัดเจนในการเพิ่มผลิตภาพการผลิตข้าว
   โดยการจำแนกพื้นที่ผลิตข้าวตามผลผลิตเฉลี่ยออกเป็น 2 ระดับ คือ 1) พื้นที่พัฒนาที่มีผลผลิตเฉลี่ยมากกว่า 350 กก./ไร่ ซึ่งพื้นที่นี้ต้องกำหนดกิจกรรมเข้าไปพัฒนาเพิ่มผลผลิตแยกตามรายพื้นที่ และ 2) พื้นที่ที่มีผลผลิตต่ำกว่า 350 กก./ไร่ซึ่งพื้นที่นี้ต้องกำหนดชัดเจนว่าจะคงสภาพให้มีการผลิตข้าวอยู่ ต่อไป (ในกรณีเพื่อการบริโภคในครัวเรือน)หรือว่าจะมีการชดเชยเพื่อให้เปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นโดยต้องไม่มีการนำผลผลิตในส่วนนี้ไปคำนวณค่าเฉลี่ยของประเทศอีกต่อไป เพราะจะทำให้ค่าเฉลี่ยของประเทศไม่ถูกต้องในเชิงสถิติ เป็นภาพลักษณ์ที่ไม่เป็นผลบวกต่อการส่งออกของประเทศ
6.ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ในการทำตลาดใหม่
โดยการแยกกลยุทธ์ในการทำตลาดตามประเภทของข้าว (ข้าวนึ่ง ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว 100-5%) โดยกำหนดเป้าหมายเป็นประเทศปลายทาง เนื่องจากกลุ่มสมาชิกAECเป็นประเทศผู้ผลิตข้าวเหมือนกัน และที่สำคัญต้องไม่สร้างภาพลักษณ์ที่เป็นผลลบต่ออุตสาหกรรมข้าวไทยผ่านการนำเสนอข้อมูลข้าวในเชิงเปรียบเทียบภาพรวม เช่นเดียวกันกับคู่แข่ง ทั้งนี้ ต้องให้ความสำคัญที่ข้าวหอมมะลิและข้าวนึ่งเป็นลำดับแรกโดยเฉพาะข้าวนึ่งที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตข้าวนึ่งคุณภาพสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ผลิตรายอื่น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น