วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556


ประวัติ อำเภอราษีไศล


         ปี 2424 (ประมาณ 100 ปี หลังก่อตั้งกรุงรัตนโกสิทร์) เมืองราษีไศล ได้ก่อตั้งขึ้น ณ บริเวณบ้านหินกอง (บริเวณ อ.ศิลาลาดในปัจจุบัน) โดยมีพระประจนปัญจนึก เป็นผู้ว่าราชการเมือง ถือศักดินา 800 ขึ้นกับเมืองศรีสะเกษ
2435 มีการจัดการปกครองแบบมณฑล เมืองราษีไศล ขึ้นกับมณฑลอีสาน และในปี 2445 มณฑลอีสานเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอุบล

          ที่ตั้งเดิมของเมืองราษีไศล คาดว่าน่าจะเป็นบริเวณบ้านเมืองเก่า ต.กุง อ.ศิลาลาด ซึ่งชื่อดั้งเดิมของหมู่บ้านนี้คือบ้านศรีไศล บริเวณนี้เป็นที่ราบลุ่มลำน้ำเสียว ลำน้ำสาขาของแม่น้ำมูล

ลำน้ำเสียวมีความยาวทั้งสิ้น 225 กม. มีจุดเริ่มต้นที่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ไหลผ่าน อ.วาปีปทุม อ.ปทุมรัตน์ อ.เกษตรวิสัย อ.สุวรรณภูมิ อ.โพนทราย อ.พนมไพร และไหลลงสู่แม่น้ำมูลที่ อ.ราษีไศล บริเวณที่เราเรียกกันว่าวังใหญ่ปี 2438 (หลังการก่อตั้งเมือง 14 ปี) เมืองราษีไศลได้ย้ายที่ตั้งจากบริเวณบ้านเมืองเก่า ไปยังที่ตั้งใหม่ซึ่งเป็นที่ในปัจจุบัน ริมฝั่งแม่น้ำมูล สาเหตุการย้ายเมืองไม่ทราบแน่ชัด แต่จากคำบอกเล่าและเอกสารแวดล้อมน่าจะมาจากการเกิดโรคระบาด แต่มีอีกหนึ่งข้อสันนิษฐานถึงเหตุของการย้ายเมือง คือความไม่สะดวกในการเดินทางในการค้าขายและติดต่อราชการกับมณฑลอีสาน (อุบล) ซึ่งตั้งขึ้นในปี 2435 (ก่อนการย้ายเมือง 3 ปี) เนื่องจากลำน้ำเสียวเป็นลำน้ำขนาดเล็ก หน้าแล้งน้ำน้อยการใช้เรือขนาดใหญ่ในการเดินทางอาจไม่สะดวกหรือไม่สามารถทำได้ หากพิจารณาที่ตั้งเมืองราษีไศลที่บริเวณบ้านท่าโพธิ์แล้ว จะมีความเหมือนกับที่ตั้งเมืองอุบลหลายประการ ไม่ว่าจะการตั้งเมืองริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำมูล โดยฝั่งตั้งเมืองจะเป็นที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง ในขณะที่อีกฝั่งของแม่น้ำมูลซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเมืองก็จะเป็นที่ราบลุ่มป่าทาม ฤดูฝนมีน้ำท่วมหลาก เป็นไปได้มั๊ยที่การย้ายเมืองราษีไศลจากบ้านเมืองเก่ามาที่บ้านท่าโพธิ์นั้น เป็นเพราะบริเวณบ้านท่าโพธิ์มีลักษณะชัยภูมิที่ตั้งเหมือนกับที่ตั้งเมืองอุบล ซึ่งเป็นการจงใจในการ Copy ฮวงจุ้ยของเมืองอุบล

หากพิจารณาเรื่องชาติพันธุ์ ชาติพันธุ์ใดเป็นผู้ก่อตั้งเมืองราษีไศล เยอ หรือ ลาว สิ่งที่เหมือนกันโดยไม่น่าจะเป็นเหตุบังเอิญ คือ เมืองราษีไศลที่บ้านเมืองเก่า และที่บ้านท่าโพธิ์ จะมีชุมชนของชาวเยอโดยรอบ ที่บ้านเมืองเก่าจะชุมชนชาวเยอบ้านกุง บ้านขาม บ้านกลาง บ้านเชือก บ้านจิกสังข์ทอง ส่วนที่บ้านท่าโพธิ์ก็จะมีชุมชนชาวเยอบ้านกลาง บ้านใหญ่ บ้านโนน บ้านป่าม่วง บ้านหนองหัวลิง บ้านหว้าน บ้านหนองบาก บ้านหลุบโมก บ้านร่องอโศก เช่นกัน เป็นไปได้มั๊ยว่าเมืองราษีไศลคือเมืองที่ก่อตั้งโดยชาวเยอ และการย้ายเมืองจากบ้านเมืองเก่า มาที่บ้านท่าโพธิ์ก็เพราะว่าที่บ้านท่าโพธิ์เป็นที่อยู่ของชาวเยอที่มีความสัมพันธ์กันมาก่อน
ตามตำนานพญากตะศิลา จากหลายๆ แหล่งอ้างแม้จะมีความต่างในรายละเอียดแต่ก็มีความเหมือนกันในความสำคัญ กล่าวคือ พญากตะศิลาผู้นำชาวเยอได้อพยพชาวเยอจากดินแดนบรรพบุรุษซึ่งปัจจุบันคือดินแดนที่อยู่ในพื้นที่ของประเทศ สปป.ลาว โดยการอพยพในครั้งนั้นใช้เรือเป็นพาหนะในการเดินทางเพื่อหาดินแดนเพื่อสร้างบ้านแปงเมืองใหม่ของชาวเยอ 

ข้อมูลในตำนานบางแหล่งอ้างไม่ได้ชี้ชัดว่ามาจากส่วนใหนของ สปป.ลาว แต่บางแหล่งอ้างชี้ชัดไปเลยว่าอพยพมาจากทางตอนใต้ของ สปป.ลาว แถบ แขวงอัตปรือ ซึ่งเป็นแขวงที่อยู่ใต้สุดของ สปป.ลาว ติดกับราชอาณาจักรกัมพูชา

หากลองพิจารณาเรื่องภาษาพูดของชาวเยอ จะจัดอยู่ในตระกูลภาษาส่วย กูย ซึ่งก็เป็นตระกูลเดียวกับภาษาเขมร (คนละตระกูลกับภาษาไทย และภาษาลาว) จึงมีความเป็นไปได้ที่เส้นทางการอพยพของชาวเยอน่าจะมาจากทางตอนใต้ของ สปป.ลาว ตามตำนานพญากตะศิลา

หากเส้นทางการอพยพในครั้งอดีตตามตำนานเกิดขึ้นจริง เมื่อพิจารณาตามเส้นทางน่าจะเป็นการล่องเรือทวนกระแสน้ำตามลำน้ำโขง และลำน้ำมูล แต่ตามที่ทราบกันดีว่าในแนวเส้นทางอพยพนั้นจะต้องผ่านแก่งต่างๆ มากหลายแก่ง ไม่ว่าจะเป็นแก่งใหญ่กลางลำน้ำโขงเช่น หลี่ผี แก่งตะนะ แก่งสะพือ ในลำน้ำมูล น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าชาวเยอในตำนานได้ใช้วิธีใดในการข้ามแก่งต่างๆ เล่านั้นมาได้พระยาประชากรกิจกรจักร เชื่อว่า ชนที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในพื้นที่ของอีสานล่างคือ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานีบางส่วน กลุ่มแรกคือ กวย กูย หรือ ข่า ขมุ ลัวะ ละว้า เยอ ซึ่งเป็นพวกเดียวกัน แต่เรียกตามสำเนียงของภาษาพูดในแต่ละท้องถิ่น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรียกชนกลุ่มนี้ว่า ส่วย

ในแขวงอัตปือ แขวงเซกอง และแขวงจำปาศักดิ์ ของ สปป.ลาว ซึ่งอยู่ในเส้นทางอพยพตามลำน้ำโขงของชาวเยอตามตำนานพญากตะศิลา ก็จะมีชนเผ่าข่า ลัวะ หรือที่เรียกว่าลาวเทิง โดยชนเผ่าเหล่านี้ก็จะมีภาษาพูดอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกันกับภาษาเยอ

ลัดเลาะทวนกระแสน้ำตามลำน้ำมูล อ.โขงเจียม อ.พิบูลมังสาหาร อ.วารินทร์ชำราบ อ.กันทรารมย์ อ.ยางชุมน้อย จนถึง อ.ราษีไศล ตลอดเส้นทางปรากฎมีการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาวกูย หรือชาวส่วย

ทวนกระแสน้ำตามลำน้ำมูลขึ้นไปที่ อ.โพนทราย อ.สุววรณภูมิ อ.รัตนบุรี อ.ท่าตูม อ.ชุมพลบุรี อ.สตึก และทวนกระแสน้ำตามลำน้ำเสียวตลอดลำน้ำ ปรากฎมีการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาวกูย หรือชาวส่วย

ตามประวัติเมืองพนมไพร กล่าวไว้ว่าเมืองแสนล้านช้าง (อ.พนมไพรในปัจจุบัน) สร้างโดยญาครูขี้หอม สังฆราชลาว ญาครูขี้หอมเป็นผู้มีบารมีสูง แผ่ไพศาล ตลอดแนว ตั้งแต่ลำน้ำโขง คือเวียงจันทน์ มรุกขนคร(นครพนม) ไล่มายังลำน้ำชี ต่อลำน้ำมูลตั้งแต่ร้อยเอ็ด(ผู้คนเมืองร้อยเอ็ดยุคใหม่ก็อพยพมาจากเมืองจำปา ศักดิ์ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้คนจากเวียงจันทน์ที่ศรัทธาในองค์อัญญาครูขี้หอม แล้วติดตามท่านไปสร้างเมืองจำปาศักดิ์ แล้วต่อมาอพยพมาอยู่เมืองร้อยเอ็ด) เมืองแสนล้านช้าง(พนมไพร) มหาชนะชัย ราษีไศล เขื่องในจนไปถึงจำปาศักดิ์ ไล่ไปจนถึงเมืองพนมเปญ

ตามตำนานเมืองชีทวน (ปัจจุบันอยู่ในเขต อ.เขื่องใน) เจ้าเมืองชีทวนมีธิดาสาวงามคนหนึ่ง ซึ่งชอบพอกับบุตรชายเจ้าเมืองกตะศิลา แต่บิดาไม่ทราบความจริง ฝ่ายเจ้าเมืองอินทเกษ (สันนิษฐานว่าคือเมืองศระสะเกษ) ไปสู่ขอธิดาเจ้าเมืองชีทวนให้แก่บุตรของตน เจ้าเมืองชีทวนยินยอมและพร้อมกันกำหนดวันแต่งงาน แต่พอใกล้วันแต่งงาน ธิดาเจ้าเมืองชีทวนลอบหนีไปอยู่กับบุตรเจ้าเมืองกตะศิลาเสีย เจ้าเมืองอินทเกษไม่พอใจจึงยกทัพเพื่อชิงนาง แต่เจ้าเมืองกตะศิลามีกำลังคนมากกว่าได้รับชัยชนะ เจ้าเมืองชีทวนได้มอบธิดาให้บุตรเจ้าเมืองกตะศิลา พร้อมกับให้ตั้งกองทัพอยู่ระหว่างทางไปเมืองอินทเกษ คือตรงที่บ้านเมืองน้อย อ.กันทรารมย์

ตามตำนานเมือง นครก้าม (อ.ยางชุมน้อยในปัจจุบัน) ท้าวคันธนาม ขุนนางฝ่ายลาวได้เดินทางผ่านมาในละแวกนี้และเป็นเวลาพลบค่ำพอดีจึงหยุดพักที่โนนพัก ปัจจุบันโนนพักอยู่ทางทิศตะวันตกของบ้านคอนกาม ริมถนนสายราษีไศล – ยางชุมน้อย ท้าวคันธนามได้ออกหาอาหารไปพบรูจี่นายโม้ที่โนนขาคีม จึงขุดเอาจี่นายโม้แล้วมัดขาติดกับด้ามเสียมคอนกลับที่พัก แต่ในระหว่างทางจี่นายโม้ได้ดิ้นหลุดหนีไปเหลือก้ามสองก้ามให้ท้าวคันธนามคอนกลับที่พักอันเป็นที่มาของชื่อ “คอนก้าม” ต่อมาได้มีผู้คนอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่แถบนี้บ้านเมืองได้เจริญรุ่งเรืองมาโดยลำดับ จึงเรียกชื่อว่า “นครก้าม” เจ้านครก้ามมีบุตร 3 คน บุตรชายชื่อหยางไทย และหยางนอย บุตรสาวชื่อหยางเครือ เมื่อเกิดศึกสงครามขึ้นระหว่างชนสามกลุ่ม คือ ไทย ลาว และเขมร เรียกว่า ศึกสามโบก (ศึกสามโทก) สุดท้ายไทยเป็นฝ่ายชนะ ได้ครอบครองดินแดนแถบนี้ รวมทั้งเมืองจานนครราช (ปัจจุบันคือจังหวัดนครราชสีมา)

เจ้านครก้าม ได้เตรียมการป้องกันข้าศึก โดยตั้งเมืองหน้าด่านขึ้นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ปัจจุบันคือบ้านด่านนอก อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมทั้งได้แบ่งรี้พลให้บุตรชายสองคนคุมไปสร้างเมืองหน้าด่านทางทิศตะวันออก และส่งบุตรสาวไปหลบซ่อนไว้ทางทิศใต้ บุตรชายคนโตได้รี้พลมากกว่า เรียกว่า “ชุมใหญ่” ส่วนคนน้องได้รี้พลน้อยกว่าเรียกว่า “ชุมน้อย” ต่อมานครก้ามได้เสื่อมลงตามกาลเวลา แต่ยังทิ้งร่องรอยความรุ่งเรืองในอดีตไว้มากมาย

“ชุมใหญ่ ชุมน้อย” สันนิษฐานว่าก็คือ บ้านยางชุมใหญ่-บ้านยางชุมน้อย ในปัจจุบันนั้นเองต่อมาบ้านยางชุมน้อย ได้ยกฐานะขึ้นเป็นตำบลยางชุมน้อย อยู่ในความปกครองของอำเภอคง (อ.ราษีไศลในปัจุบัน) จังหวัดขุขันธ์ ต่อมาได้โอนมาขึ้นกับ อ. เมือง และในปี พ.ศ.2512 ได้ตั้งเป็นกิ่ง อ.ยางชุมน้อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น