วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์ จังหวัดศรีสะเกษ

ประวัติศาสตร์จังหวัดศรีสะเกษ

     จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเมืองโบราณตั้งแต่สมัยขอม จะเห็นได้จากโบราณสถานสมัยขอมที่ยังปรากฏอยู่ แต่ต่อมาขอมได้เสื่อมอำนาจลงในปลายสมัย
กรุงศรีอยุธยาชาวไทยพื้นเมืองที่เรียกตัวเองว่า “กวย” หรือ “กูย” ได้อพยพข้ามลำน้ำโขงมาสู่ฝั่งขวา ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๒๕๖ และได้แยกย้ายกันออกไป
๖ กลุ่ม กลุ่มที่มี “ตากะจะ” และ”เชียงขัน” ได้มาตั้งถิ่นฐานที่บ้านโคกลำดวน
     ในปี พ.ศ. ๒๓๐๖ สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ หรือสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ได้โปรดเกล้าฯ ยกบ้านโคกลำดวนหรือบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวนขึ้น
เป็นเมือง และโปรดเกล้าฯ ให้ตากะจะ หรือหลวงแก้วสุวรรณ เป็นพระไกรภักดี ศรีนครลำดวนเจ้าเมือง ต่อมาเมืองนี้ได้ชื่อว่า “เมืองขุขันธ์” ใน พ.ศ.
๒๓๒๑ สมัยพระเจ้าธนบุรี หลังจากเสร็จสงครามกับเวียงจันทน์ มีความชอบจึง โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์เจ้าเมือง เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน
และในปีเดียวกันนั้น เจ้าเมืองขุขันธ์ถึงแก่อนิจกรรม จึงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงปราบ (เชียงขัน) เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวนเจ้าเมืองขุขันธ์ ต่อมาเมืองขุขันธ์กันดารน้ำ จึงอพยพย้ายไปตั้งเมืองอยู่บ้านแตระ ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ปัจจุบัน
     ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ พระภักดีภูธรสงคราม (ท้าวอุ่น) ปลัดเมืองขุขันธ์ ขอตั้งบ้านโนนสามขา สระกำแพงใหญ่ขึ้นเป็น “เมืองศรีสะเกษ” พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ รัชกาลที่ ๑ จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระภักดีภูธรสงครามเป็นพระยารัตนวงศา เจ้าเมืองศรีสะเกษ ขึ้นกับเมืองขุขันธ์   
     ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๕ ได้ย้ายที่ทำการเมืองขุขันธ์มาตั้งอยู่ที่เมืองศรีสะเกษ (ที่บ้านเมืองเก่า ตำบลเมืองเหนือ) แต่ยังคงใช้ชื่อว่าเมืองขุขันธ์ และยุบเมืองขุขันธ์เดิมเป็นอำเภอห้วยเหนือ (อำเภอขุขันธ์ปัจจุบัน) ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้เปลี่ยนชื่อ
มณฑลอีสาน เป็นมณฑลอุบล มีเมืองขึ้นตรงต่อมณฑลนี้ ๓ เมือง คือ อุบลราชธานี ขุขันธ์ และสุรินทร์ จึงรวมเมืองศรีสะเกษ ขุขันธ์ และเดชอุดม
เป็นเมืองขุขันธ์ โดยมีศาลากลางอยู่ที่อำเภอเมืองศรีสะเกษ
     ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ เมื่อยกเลิกมณฑลเทศาภิบาลได้เปลี่ยนชื่อเมืองขุขันธ์เป็นจังหวัดขุขันธ์ และในปี พ.ศ.๒๔๘๑ได้เปลี่ยนชื่อเมืองขุขันธ์เป็น
จังหวัดขุขันธ์ และในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้เปลี่ยนชื่อจังหวัดขุขันธ์เป็นจังหวัดศรีสะเกษมาจนถึงปัจจุบัน
สภาพภูมิศาสตร์ทั่วไป
     จังหวัดศรีสะเกษตั้งอยู่ทางตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ไทย มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ จังหวัดสุรินทร์อยู่ทาง
ทิศตะวันตก จังหวัดยโสธร และจังหวัดร้อยเอ็ดอยู่ทางทิศเหนือ จังหวัดอุบลราชธานีอยู่ทางทิศตะวันออก และทิศใต้ติดกับประเทศกัมพูชา โดยมีเทือกเขา
พนมดงรัก เป็นแนวกั้นเขตแดน
     บริเวณที่จังหวัดศรีสะเกษตั้งอยู่นั้น คือ บริเวณขอบแอ่งที่ราบลุ่มโคราชด้านตะวันออก หรือเรียกได้ว่าเป็นลุ่มแม่น้ำมูล-ชีตอนล่าง ซึ่งเป็นบริเวณที่มี
ผืนแผ่นดินกว้างขวาง อุดมไปด้วยลำน้ำ ลำห้วยสาขาต่าง ๆ ของแม่น้ำมูล-ชี หลายสายที่ไหลมาบรรจบกันในเขตอีสานล่าง
     ลักษณะภูมิประเทศ ตอนล่างของจังหวัดศรีสะเกษเป็นเทือกเขาและที่สูง มีเทือกเขาสำคัญ คือ เทือกเขาพนมดงเร็กที่ทอดตัวยาวในแนว
ตะวันออก-ตะวันตก มีหน้าผาสูงชันทางด้านใต้แล้วค่อย ๆ ลาดเอียงไปทางเหนือ มีความสูงประมาณ ๒๐๔-๖๗๓ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง
     พื้นที่ตอนกลางของจังหวัด เป็นที่ลาดเอียงเล็กน้อยและที่ราบลอนลาดไปจดที่ราบสูงตอนใต้ ดินบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์ระดับปานกลาง มีความสูง
ประมาณ ๑๕๐-๑๖๙ เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ส่วนพื้นที่ตอนบนเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ มีความสูงประมาณ ๑๑๕-๑๕๐ เมตร จากระดับน้ำทะเล
ปานกลาง ซึ่งมีลำน้ำสำคัญ คือ แม่น้ำมูล อันมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาสันกำแพง อำเภอยางชุมน้อย อำเภอเมืองศรีสะเกษ และอำเภอกันทรารมย์
      นอกจากนี้ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ มีลำน้ำสาขาของแม่น้ำและลำน้ำอื่น ๆ ที่สำคัญอีกได้แก่ ห้วยขะยูง ห้วยทา ห้วยสำราญ ห้วยแฮด ห้วยทับทัน
ห้วยเหนือ ลำน้ำเสียว ห้วยคล้า เป็นต้น ซึ่งลำน้ำเหล่านี้เป็นแหล่งน้ำที่มีความสัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดีต่าง ๆ จำนวนมาก
การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ
     จากการสำรวจและศึกษาแหล่งโบราณคดีในเขตจังหวัดศรีสะเกษนั้น พบว่าการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ได้เริ่มปรากฏมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
ตอนปลาย ที่จัดอยู่ในช่วงยุคเหล็กเป็นต้นมา โดยพบหลักฐานเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ และการตั้งถิ่นฐานปรากฏทั้งบนภูเขาสูง
และพื้นที่ราบ ซึ่งแหล่งโบราณคดีผาจันทร์แดงและแหล่งโบราณคดีผาเขียนที่มีลักษณะเป็นเพิงผา หินทราย พบหลักฐานการทำภาพสลักลงไปในผนังหิน แหล่งโบราณคดีทั้งสองแหล่งนี้ตั้งอยู่ในเขตบ้านภูดินพัฒนา ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ ในส่วนที่เป็นป่าเขาเชิงเทือกเขาพนมดงรัก
     การทำภาพสลัก โดยการสกัดลงไปในเนื้อหินนั้นจะต้องใช้เครื่องมือที่มีความแข็ง กลุ่มคนที่มาสลักภาพดังกล่าวน่าจะเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในสังคม
ที่มีการรู้จักการใช้โลหะเหล็กแล้ว จึงสามารถกำหนดอายุได้ว่าแหล่งโบราณคดีทั้งสองแห่งนี้อยู่ในช่วงยุคเหล็ก อายุราย ๓,๐๐๐-๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว      นอกจากนี้ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษยังมีการค้นพบแหล่งที่ตั้งชุมชน โบราณสมัยก่อน ประวัติศาสตร์ตอนปลายที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนพื้นที่ราบหลายแห่ง
ในแถบลุ่มแม่น้ำ จากการสำรวจชุมชนแหล่งโบราณดคีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายหลายแห่งเป็นแหล่งถลุงโลหะมาก่อน
     ชุมชนแหล่งโบราณคดีบนพื้นที่ราบจะเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นเนินดินบนที่ ราบริมฝั่งแม่น้ำมูลและลำน้ำสาขาของแม่น้ำมูล คือ ลำน้ำเสียวและ
ลำน้ำเค็มแทบทั้งสิ้น หรืออาจเรียกได้ว่าอยู่ในเขตพื้นที่ของทุ่งกุลาร้องไห้
     หลักฐานที่พบจากแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ในบริเวณนี้ได้แก่ ภาชนะดินเผา บรรจุกระดูก (Burial Jar) โครงกระดูก และเศษชิ้นเนื้อดินธรรมดา หม้อดินเผาขนาดเล็ก (หม้ออุทิศ) ลูกปัดสีน้ำตาล กำไลดินเผา ดินเผาไฟ ตะกรัน ขวานหินขัด เป็นต้น
     ชุมชนแหล่งโบราณคดีที่สำคัญได้แก่ แหล่งโบราณคดีบ้านโนนสูง ตำบลหนองแค อำเภอราษีไศล แหล่งโบราณคดีโนนสะแบง บ้านโนนจิก ตำบล
โจดม่วง กิ่งอำเภอศิลาลาด แหล่งโบราณคดีโนนสูง บ้านชาดโง ตำบลโจดม่วง กิ่งอำเภอศิลาลาด มีลักษณะของแหล่งโบราณคดีเป็นเนินดินทรงกลม ลำน้ำเค็มไหลผ่านทางทิศตะวันออกห่างไปประมาณ ๓ กิโลเมตร มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ ๑๒๖ เมตร พบหลักฐานสำคัญ คือ ภาชนะดินเผาบรรจุกระดูก (Burial Jar) เศษภาชนะดินเผา และตะกรัน
     แหล่งโบราณคดีโนนก้านเหลือง บ้านบึงหมอกน้อย ตำบลเมืองแคน อำเภอราษีไศล มีลักษณะของแหล่งโบราณคดีเป็นเนินดินแม่น้ำมูลไหลผ่าน
ทางทิศใต้ห่างไปประมาณ ๔ กิโลเมตร มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ ๑๒๔ เมตร พบหลักฐานสำคัญ คือ ภาชนะดินเผาลายเชือกทาบ เศษกระดูกขวานหินขัด และเศษภาชนะดินเผา
     แหล่งโบราณคดีที่อยู่บริเวณห้วยแฮด ลำห้วยสาขาของแม่น้ำมูล ตำบลทุ่ม อำเภอเมือง มีลักษณะของแหล่งโบราณคดีเป็นเนินดินรูปวงกลม
พบหลักฐานสำคัญ คือ ภาชนะดินเผาลายเชือกทาบย้อมสีแดง และภาชนะดินเผาผิวเรียบรุ่นเดียวกัน ที่มีสภาพสมบูรณ์รวม ๓ ใบ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้
้ที่วัดโนนแกด นอกจากนี้ยังพบที่บ้านหนองเข็ง ตำบลโพนเขวา อำเภอเมือง มีลักษณะของแหล่งโบราณคดีเป็นเนินดินรูปวงกลม มีกุดโมงกับกุดแคน
เป็นแหล่งน้ำที่อยู่ใกล้เคียง มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ ๑๒๐-๑๓๐ เมตร พบหลักฐานคือ เศษภาชนะดินเผา และตะกรัน ซึ่งแสดงว่า
อาจเป็นแหล่งถลุงเหล็กมาก่อน
     แหล่งโบราณคดีบ้านหนองฮาง ตำบลหนองฮาง อำเภอเบญจลักษ์ พบหลักฐาน คือไหดินเผาบรรจุกระดูก จำนวน ๒ ใบ ซึ่งภายในภาชนะดินเผา
ดังกล่าวพบกระดูกส่วนแขก ขากะโหลกศรีษะ หม้ออุทิศ จำนวน ๒ ใบ และลูกปัดเปลือกหอยสีขาว
     แหล่งโบราณคดีดังกล่าวมีลักษณะของหลักฐานเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับแหล่ง โบราณคดีอื่น ๆ ในเขตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ คือ พบหลักฐานเกี่ยวกับแบบแผน
ประเพณีการฝังศพครั้งที่สอง ที่มีการบรรจุกระดูกของผู้ตายในภาชนะดินเผาและมีการฝังศพแบบดั้งเดิม คือ ฝังศพแบบนอนหงายเหยียดยาวมีการ
อุทิศสิ่งของต่าง ๆ ให้แก่ผู้ตายรวมทั้งพบหลักฐานเกี่ยวกับการถลุงโลหะและการทำเกลือสินเธาว์อีกด้วย
     จากหลักฐานด้านโบราณคดีดังกล่าว ล้วนแสดงให้เห็นถึงประเพณีการฝังศพที่มีการอุทิศสิ่งของต่าง ๆ ให้กับผู้ตาย และเศษตะกรันที่พบร่วมอยู่นั้น
ก็บ่งบอกถึงกิจกรรมการถลุงโลหะ เพื่อทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ สามารถกำหนดอายุโดยการศึกษาเปรียบเทียบหลักฐานกับแหล่งโบราณคดีอื่น ๆ ที่เคยมีการกำหนดอายุไว้แล้ว จึงเทียบได้ว่าแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในจังหวัดศรีสะเกษมีอายุ อยู่ในยุคเหล็กอายุราว ๒,๕๐๐-๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว
การตั้งถิ่นฐานสมัยประวัติศาสตร์
     พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนโบราณในจังหวัดศรีสะเกษ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนโดยรอบตลอดทั้งภูมิภาค เมื่อมีการขยายตัวทางการค้าทางทะเลของกลุ่มคนจากซีกตะวันตกอันได้แก่ เปอร์เซีย อินเดีย สู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีศูนย์กลางการติดต่อ
สำคัญนอกจากจีนแล้ว ได้แก่ฟูนัน และจามปา ซึ่งที่ตั้งอาณาจักรเดิมอยู่ทางตอนใต้ของประเทศกัมพูชา และเวียดนามในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
อาณาจักรฟูนันนั้นเคยขยายอำนาจเข้าสู่บริเวณตอนกลางของประเทศไทย
     ภูมิภาคอีสานตอนล่างของประเทศไทยในสมัยโบราณแม่จะอยู่ห่างไหลจากบริเวณเมือง ท่าของฟูนันและจามปา แต่กลับมีความสำคัญในการเป็นเส้นทาง
การคมนาคม การค้าภายในภูมิภาค เชื่อมระหว่างภาคกลางของประเทศไทย กัมพูชา ลาว และเวียดนาม เนื่องจากมีลำน้ำสายหลัก คือ มูล ชี และลำน้ำ
สาขาครอบคลุมพื้นที่อันกว้างใหญ่ เป็นประตูออกสู่แม่น้ำโขง ด้วยเหตุนี้เองจึงมีผลทำให้อีสานล่าง สามารถพัฒนาก้าวเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ได้เร็วกว่า
เขตพื้นที่อื่น
     ในการกำหนดสมัยประวัติศาสตร์ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ หลักฐานสำคัญที่สุด ก็คือการบันทึกด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวอักษร ได้พบศิลาจารึก
หลายแห่งในโบราณสถานทางตอนใต้ของที่ราบลุ่มแม่น้ำมูลลงมาซึ่งมีทั้งในเขต เนินเขา และบริเวณที่ราบลุ่มลำน้ำสาขาของแม่น้ำมูล ซึ่งส่วนใหญ่
จะมีลักษณะสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบลอนลาด ที่มีลำน้ำสำคัญคือ ห้วยสำราญ ห้วยกะเดิน ห้วยทา ห้วยแฮด ห้วยทับทัน ห้วยพระบาง

ตราและธงประจำจังหวัด

     จังหวัดศรีสะเกษ เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ของตนเองไม่ว่าเอกลักษณ์ทางธรรมชาติ เช่น สิ่งที่มีอยู่ตามสภาพภูมิศาสตร์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
พืชพรรณไม้ และทรัพยากรอื่น ๆ รวมทั้งเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ได้แก่ ศิลปะแบบขอม อาหารการกิน ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาถิ่น เป็นต้น

ตราประจำจังหวัดศรีสะเกษ
ตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดศรีสะเกษ เป็นรูปปราสาทหิน ภายในวงกลมใต้ปราสาทเป็นรูปดอกลำดวนมีใบ 6 ใบ

ความหมาย
     ปราสาทหิน หมายความว่า ปราสาทขอมซึ่งมีอยู่จำนวนมากในจังหวัดศรีสะเกษ จนได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งปราสาทขอมโบราณ  เช่น ปราสาท
สระกำแพงใหญ่ ปราสาทสระกำแพงน้อย ปรางค์กู่ ปราสาทโดนตวล ปราสาทเยอ ปราสาททามจาน (ปราสาทบ้านสมอ) เป็นต้น  เท่าที่สำรวจพบขณะนี้
ยังคงมีร่องรอย และขึ้นทะเบียน เป็นโบราณสถานแล้ว 16 แห่ง จนได้ชื่อว่าเป็นนครแห่งปราสาท มีความหลากล้วนทางวัฒนธรรม วิถีวัฒนธรรมของ
ชาวศรีสะเกษ มีลักษณะพิเศษที่มีความหลากหลายของชนเผ่าต่าง ๆ ในพื้นที่ ได้แก่ ส่วย เขมร ลาว เยอ จึงเรียกขานกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ดินแดนสี่เผ่าไทย”


ดอกลำดวน ๑ ดอก   
     ดอกลำดวน  1  ดอก  หมายถึง ดอกไม้สัญลักษณ์ของ จังหวัดศรีสะเกษ คือ ดอกลำดวน พื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เป็นดินแดนที่มีต้น ลำดวนขึ้นอยู่ทั่วไป เป็นจำนวนมาก พอถึงฤดูออกดอกจะส่งกลิ่นหอมเย็นอบอวนไปทั่วทั้งจังหวัด เมืองศรีสะเกษ จึงได้ชื่อว่า " เมืองศรีนครลำดวน"

ใบลำดวน ๖ ใบ
    ใบลำดวน ๖  ใบ  หมายถึง อำเภอเริ่มแรกที่ตั้งเป็นจังหวัดศรีสะเกษ มี ๖ อำเภอ ประกอบด้วยอำเภอเมืองศรีสะเกษ อำเภอกันทรารมย์
อำเภอกันทรลักษ์ อำเภอขุขันธ์ อำเภอราษีไศล และอำเภออุทุมพรพิสัย สำหรับอำเภออื่น ๆ นอกนั้นได้ตั้งขึ้นหลัง พ.ศ. ๒๕๐๐ และยกฐานเป็นกิ่งอำเภอก่อนทุกอำเภอ
ธงประจำจังหวัดศรีสะเกษ




                ธงพื้นสีแสดและสีขาว แบ่งครึ่งตามแนวนอน มีตรารูปปรางค์กู่ มี ดอกลำดวน และใบลำดวน 6 ใบรองรับอยู่เบื้องล่าง



คำขวัญประจำจังหวัด





" หลวงพ่อโตคู่บ้าน ถิ่นฐานปราสาทขอม
ข้าว หอม กระเทียมดี มีสวนสมเด็จ
เขตดงลำดวน หลากล้วนวัฒนธรรม เลิศล้ำสามัคคี "
ต้นไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ




ต้นลำดวน
การคมนาคม

     จังหวัดศรีสะเกษ มีทางหลวงแผ่นดิน  และทางหลวงจังหวัด ที่สามารถใช้เดินทางติดต่อภายในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียงได้สะดวก
และมีถนนในชนบทอยู่ในสภาพที่ใช้การได้แต่ไม่ตลอดฤดูกาล มีเส้นทางรถไฟผ่านจังหวัดศรีสะเกษเป็นระยะทางทั้งสิ้น ๓๔ กิโลเมตร

ทางรถยนต์    
    จากกรุงเทพฯ  ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข ๑ (ถนนพหลโยธิน) แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข ๒
(ถนนมิตรภาพ)  ที่จังหวัดสระบุรี ไปจนถึง  จังหวัดนครราชสีมา  เข้าทางหลวงหมายเลข ๒๒๖
 ผ่านบุรีรัมย์ สุรินทร์  เข้าตัวเมือง ศรีสะเกษ  หรือใช้เส้นทางหลวงหมายเลข   ๒๔ จากอำเภอสีคิ้ว
ผ่านอำเภอโชคชัย-นางรอง-ประโคนชัย-ปราสาท   แล้วแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข   ๒๒๐
 ผ่านอำเภออุทุมพรพิสัย  เข้าตัวเมืองศรีสะเกษ รวมระยะทาง  ๕๗๑   กิโลเมตร
ทางรถโดยสารประจำทาง


    
  จากกรุงเทพฯ   มีรถโดยสารประจำทางทั้งธรรมดา   และปรับอากาศ ออกจากสถานีขนส่งสาย
ตะวันออกเฉียงเหนือ (ขนส่งหมอชิตใหม่)  ทุกวัน  ใช้เวลาเดินทางประมาณ  ๘ ชั่วโมงครึ่ง     
ติดต่อสอบถามเวลาเดินรถและรายละเอียด  ได้ที่ โทร  ๐๒-๙๓๖-๒๘๕๒-๖๖   สถานีขนส่ง
จังหวัดศรีสะเกษ โทร.๐-๔๕๖๑-๒๕๐๐  www.transport.co.th

ทางรถไฟ
     จากสถานีรถไฟหัวลำโพง มีรถธรรมดา   รถเร็ว   รถด่วน   และรถสปรินเตอร์ สายกรุงเทพฯ-
อุบลราชธานี  วันละ ๗ รอบ ลงที่สถานีศรีสะเกษ  ระยะทาง ๕๑๕    กิโลเมตร  สอบถามรายละเอียด
ได้ที่ หน่วยบริการ เดินทาง การรถไฟ- แห่งประเทศไทย โทร.๐-๒๒๒๓-๗๐๑๐ และ
๐-๒๒๒๓-๗๐๒๐  หรือ ๑๖๙๐ สถานีรถไฟศรีสะเกษ  โทร.๐-๔๕๖๑-๑๕๒๕  
www.railway.co.th
ภายในจังหวัด
      มีรถสามล้อรับจ้างอยู่ทั่วไป นอกจากนั้นยังมีรถโดยสารจากตัวอำเภอเมืองศรีสะเกษไปยังอำเภอ
ต่างๆ ทุกอำเภอและจังหวัดใกล้เคียงด้วย ระยะทางไปยังจังหวัดใกล้เคียง อุบลราชธานี 61 กิโลเมตร / ยโสธร 159 กิโลเมตร / สุรินทร์ 143 กิโลเมตร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น